- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 26 May 2015 19:31
- Hits: 1214
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ซื้อด้วยค่าบวก, ค่าลบควรลดพอร์ต/Wait & See"
Stock Picks-May 2015 : Fundamental : AP, KBANK, MINT, TTCL, WHA Dark Horse: RCL, SAMTEL
Fundamental Pick -Today: CENTEL
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : KTIS 41%, BIGC 41%,RATCH 38%, GLOW 32%, BEC 25%
Technical View ภาพระยะสั้นเป็นลบ แต่มีสิทธิเด้งก่อนลงต่ำต่อ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1520-1530,1540 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 1005-1010,1020 ค่าลบ
Technical Picks- Today : TRC, GL, SYNEX, SCN, CWT, PM, NYT, MAJOR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยร่วงแรง โดยปิดลดลง 15.70 จุดมาที่ 1508.16 มูลค่าซื้อขายชะลอตัวลง โดยนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศมีการขายหุ้นออกมาในแทบทุกกลุ่ม ขณะที่พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ ปัจจัยที่กดดัน คือ เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้า ผลประกอบการบจ.เติบโตน้อยกว่าคาดใน 1Q58 รวมถึงปัจจัยลบทางเทคนิคจากการที่ดัชนีไม่ผ่าน 1530 แล้วถอยหลุดแนวฟิวเตอร์ 1510 ลงมาด้วย
ตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ในระดับมหภาคเข้ามากระตุ้น โดยดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังซบเซาในเดือนเม.ย.แต่ก็มีพัฒนาการทางบวกในบางกลุ่ม เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน (เพราะส่งออกได้ดีขึ้น) และชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ (เนื่องจากการเปลี่ยนเทคโนโลยี) ซึ่งในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นชั้นนำในกลุ่มยานยนต์เพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว หุ้นเด่นได้แก่ AH, SAT, STANLY เป็นต้น ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์แนะนำซื้ออ่อนตัว เพราะราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอควรแล้ว กลุ่มที่ชอบและเห็นว่ามีแนวโน้มดีในระยะยาว คือ กลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุน โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลุ่มเด่นๆ ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, STEC, SEAFCO, TTCL, STPI, SYNTEC), กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น SCC), กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (หุ้นเด่น AP, QH, CPN, WHA) เป็นต้น ส่วนปัจจัยภายนอกยังติดตามความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ ซึ่งกรีซมีหนี้ครบกำหนดชำระ IMF วันที่ 6 มิ.ย.นี้จำนวน 1.5 พันล้านยูโร สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CENTEL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ แต่มีสิทธิรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อได้ กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1520-1530, 1540 แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี แนะนำให้ลดพอร์ต หรือ Stop Loss สำหรับการ SCAN หุ้นมีสัญญาณบวกทางเทคนิคหรือมีโอกาสทำ New high เป็นดังนี้ หุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ GL, TPOLY, CWT, PM หุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ AUCT, SMT, LIT, UNIQ, CENTEL, INTUCH ส่วนหุ้นที่หลุด List เป็น CSS, TGCI
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
/- ยูโรโซน : สเปน & กรีซอยู่ในช่วงปฎิรูปและมาตรการรัดเข็มขัดถูกต่อต้านจากประชาชนบางกลุ่ม พรรคโพเดมอสของสเปนที่มีนโยบายต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดชนะเลือกตั้งท้องถิ่น ด้านกรีซก็คงจะไม่สามารถชำระหนี้หนี้ให้กับ IMF ในงวด 6 มิ.ย. มูลค่า 1.5 พันล้านยูโร นอกเสียจากว่ากรีซจะบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ต่างประเทศเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติม
- ตลาดหุ้นยุโรปอ่อนตัวลงฉุดโดยตลาดหุ้นกรีซ ซึ่งเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรีซส่งสัญญาณว่ากรีซอาจไม่มีเงินชำระคืนหนี้ IMF ในเดือนมิ.ย.ที่จะถึงนี้
+ จีน : สินทรัพย์ ณ สิ้นเม.ย.58 ของธนาคารจีนทั้งหมดเพิ่มขึ้น 11.9%YoY เป็น 176.16 ล้านล้านหยวน ส่วนหนี้สินเพิ่มขึ้น 11.3%YoY เป็น 163.06 ล้านล้านหยวน ซึ่งสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าที่ 13.2%YoY (สินทรัพย์ธนาคารพาณิชย์คิดเป็น 78% ของสินทรัพย์ภาคธนาคารทั้งหมดของจีน ส่วนที่เหลือเป็นธนาคารพาณิชย์ร่วมทุนและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ)
ปัญหาแรงงานขาดแคลนเกิดขึ้นแม้แต่ในประเทศจีนที่มีประชากรจำนวนมาก นักเศรษฐศาสตร์หนุนให้จีนปรับขึ้นอัตราค่าแรงงาน ทั้งนี้แม้ว่าการปรับขึ้นค่าแรงจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น ความได้เปรียบของผลิตภัณฑ์จีนจะลดลง แต่จะช่วยหนุนศักยภาพในการผลิตระยะยาว จากการสำรวจของธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พบว่ามีการขาดแคลนแรงงานในบางพื้นที่ และคาดว่าอัตราค่าแรงงานของจีนจะเพิ่มขึ้น 8.4% ในปี 58 โดยผู้ประกอบการจีนหลายรายย้ายฐานการผลิตสินค้าที่เป็น Labor Intensive ไปยังประเทศที่มีอัตราค่าแรงงานถูกกว่า เช่น กัมพูชา, เวียดนาม เป็นต้น นอกจากนั้นสหพันธ์วิทยาการหุ่นยนต์สากล (IFR) คาดการณ์ว่าจีนจะมีหุ่นยนต์ทำงานในโรงงานมากกว่าประเทศอื่นๆในโลกภายในปี 2560
ความเห็น Retail Research : เราคาดว่าปัญหาขาดแคลนแรงงานจะเป็นประเด็นมากขึ้นในระยะต่อไปของหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย เนื่องจากสัดส่วนประชากรในวัยทำงานน้อยลง ขณะที่สัดส่วนผู้สูงวัยมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องเริ่มปรับตัวรับล่วงหน้าด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตมากขึ้น ขณะเดียวกันในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคก็ต้องปรับแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสังคม Aging ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การจำหน่ายสินค้าที่เป็น Own Brand มากขึ้นเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา ซึ่งทำให้ขายสินค้าได้ในราคาถูกลงขณะที่คุณภาพเท่าเดิม, การลงทุนและบริหารค่าใช้จ่ายในร้านค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง TH กำลังดำเนินการภายใต้รูปแบบ LCS ผ่านบริษัทย่อย คือ ดีดี ธัญกาญจน์ ซึ่งจะเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มิ.ย.58 และจะเปิดอีก 4 สาขาต่อไปภายในสิ้นก.ค.58 และอีก 4 สาขาภายในสิ้นส.ค.58 โดยในปีนี้ตั้งเป้าเปิดสาขาทั้งหมด 14 แห่งในปีนี้
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : สินเชื่อเดือนเม.ย.58 เติบโตจากสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (W/K) โดยสินเชื่อของกลุ่มเติบโต 0.6%MoM, 3.3%YTD และ 6.8%YoY ซึ่งการเติบโต YoY และ YTD มาจากการรวมสินเชื่อ BTMU เข้ามาใน BAY ในเดือนม.ค.58 มูลค่า 2.2 แสนล้านบาทด้วย (2% ของสินเชื่อรวมของกลุ่ม) หากรวมส่วนนี้สินเชื่อ ณ สิ้นเม.ย.58 จะขยายตัว 0.5%MoM, 0.7%YTD และ 3.7%YoY ซึ่งต่ำ (เพราะเมื่อนำการเติบโต YTD มา Annualized แล้วเติบโตเพียง 2.1%) สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก ณ สิ้นเม.ย.58 เท่ากับ 88.4%
ธนาคารที่สินเชื่อขยายตัว MoM ดีในเดือนม.ย.58 คือ KBANK (+1.4%MoM) รองลงมาเป็น BAY (+1.3%MoM) TMB (+0.9%MoM), SCB (+0.8%MoM) และ KTB (+0.7%MoM) ส่วนแบงค์ที่เหลือสินเชื่อหดตัวลง โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ประเด็นที่ยังจับตาในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คือ คุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเราประเมินว่ามีโอกาสที่จะด้อยลงอีกใน 2Q58 แต่ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงก็ได้สะท้อนไปส่วนหนึ่งแล้ว จากนี้ก็รอดูตัวเลขจริงของแต่ละธนาคารว่าจะเป็นอย่างไร เราให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral โดยยังคงให้ KBANK เป็นหุ้น Top Pick
-/+ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเม.ย.58 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน โดยลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยลดลงเป็น 86.2 จาก 87.7 ในเดือนก่อนหน้า ปัจจัยกดดัน คือ เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทำให้การส่งออกหดตัวต่อเนื่อง กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอ เพราะหนี้ภาคครัวเรือนสูงและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ยังผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 60%
ความเห็น Retail Research: แม้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมจะยังซบเซา แต่เราเห็นการผลิตที่ดีขึ้นของกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากการฟื้นตัวของการส่งออกรถยนต์ โดยเฉพาะอีโคคาร์, กลุ่มชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนที่พัฒนาใหม่นั้นเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวกับสมาร์ทโฟนและรถยนต์ที่หันมาใช้ระบบดิจิตอลมากขึ้น โดยหุ้นเด่นในกลุ่มยานยนต์เป็น AH, SAT, STANLY โดยเป็นการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุน ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์เป็น DELTA, KCE แต่เน้นซื้ออ่อนตัว เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นมารับข่าวบาทอ่อนใน 2Q58 ไปพอควรแล้ว
คาดภาคก่อสร้างจะฟื้นตัวดีขึ้นในระยะต่อไป โดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐมีแนวโน้มเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมได้มากขึ้น ขณะที่โครงการลงทุนเดิมก็ดำเนินไปได้ดี ทั้งนี้เห็นการลงทุนที่ฟื้นตัวดีขึ้นใน 1Q58 (+24%QoQ SAA) ซึ่งส่วนนี้และภาคท่องเที่ยวช่วยให้เศรษฐกิจไทยใน 1Q58 เติบโตได้ระดับ 3% ขณะที่ภาคการบริโภคและส่งออกยังอ่อนแอ คาดว่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้นใน 2H58 โดยเฉพาะในช่วงใกล้ปิดงบประมาณประจำปี 58 ในเดือนส.ค.-ก.ย.58 เรามีมุมมองที่เป็นบวกกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เช่น รับเหมาก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, STEC, SEAFCO, TTCL, STPI, SYNTEC), วัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น SCC), พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (หุ้นเด่น AP, QH, CPN, WHA) เป็นต้น ดังนั้นการอ่อนตัวลงของราคาหุ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนเป็นจังหวะในการซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]