- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Saturday, 23 May 2015 00:17
- Hits: 1703
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ทดสอบแนวต้าน 1530-1540 ไม่ผ่านขายก่อน"
Top Picks-Fund
May 2015 : Fundamental : AP, KBANK, MINT, TTCL, WHA Dark Horse: RCL, SAMTEL
Top Picks -Fund Today: SIRI
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : KTIS 46%, BEC 30%, M 24%, KCE 22%,VGI 19%,THCOM 15%
Technical View ภาพระยะสั้นเป็นบวกเล็กๆ แต่การรีบาวด์อาจมีระยะทางจำกัด
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1530,1540 ต่ำกว่า 1510
SET50 ซื้อค่าบวก 1015-1020 ต่ำกว่า 1000
Top Picks-Tech Today : ASK, GL, BJCHI, EPG, BWG, TIPCO, BLA, TKS
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : SRICHA (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังปรับลดลงต่อ แต่น้อยลงจากวันก่อนหน้าหลังจากที่นักลงทุนได้ทำการปรับลดพอร์ตการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว ส่วนแรงซื้อหุ้นอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น วัสดุก่อสร้าง, รับเหมาก่อสร้าง, ขนส่ง&โลจิสติกส์ รวมถึงหุ้นลิสซิ่งที่มีอัตราการเติบโตของรายได้และกำไรที่ดี เช่น GL, S11 เป็นต้น ปิดตลาด SET Index +6.14 จุดที่ 1526.25 จุด นักลงทุนสถาบันในประเทศ, พอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ ส่วนต่างชาติซื้อสุทธิ 950 กว่าล้านบาท
ตลาดอยู่ในภาพรีบาวด์ทางเทคนิคและรอข่าวใหม่ (ติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดและตัวเลข CPI ของสหรัฐที่จะรายงานออกมาในคืนวันนี้ ตามเวลาไทย) ระยะสั้นมากไม่มีประเด็นสำคัญใหม่มากนัก โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับคุณภาพหนี้ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้สะท้อนเข้ามาในตลาดไปมากแล้ว และคาดว่าราคาหุ้นกลุ่มนี้จะมี Downside น้อยลงหลังถูกขายปรับพอร์ตแบบมีนัยสำคัญในช่วง 3 วันที่ผ่านมา แต่การปรับขึ้นก็อาจจะยังจำกัด กลุ่มที่มี Sentiment ดีในช่วงสั้นคือกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่เด้งขึ้นและแนวโน้มผลประกอบการที่ฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำในปีก่อน หุ้นเด่น คือ PTT, TOP และกลุ่มลิสซิ่ง, รับจำนำรถ, แฟคตอริ่ง (เรียกเก็บหนี้) ที่คาดว่าธุรกิจจะขยายตัวดีในช่วงเศรษฐกิจซบเซา หุ้นเทคนิคเด่นในกลุ่มนี้เป็น GL, S11 เป็นต้น ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการเข้ามาเก็งกำไรข่าวการเปิดขายโครงการใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีมากขึ้นใน 2Q58 สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น SIRI
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกเล็กๆ การรีบาวด์อาจมีระยะทางจำกัด เพราะถูกกดันจากภาพระยะกลางของ SET Index ที่ยังอยู่ในแดนลบ กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1530, 1540 แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี แนะนำให้ Wait & See ต่ำกว่า 1510 ให้ Stop Loss
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
ตลาดหุ้นสหรัฐทรงตัว...ตัวเลขเศรษฐกิจออกมาชะลอตัวลง ทำให้คาดการณ์ว่าเฟดจะไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์สิ้นสุด 16 พ.ค.เพิ่มขึ้น 1 หมื่นราย มากกว่าคาด, ยอดขายบ้านมือสองเม.ย.ลดลง 3.3%MoM เป็น 5.04 ล้านยูนิต ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และ PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ค.ลดลงเป็น 53.8 (จาก 54.1 ในเดือนก่อนหน้า) จับตาถ้อยแถลงของประธานเฟด และตัวเลข CPI เดือนเม.ย.คืนนี้ (ตามเวลาไทย)
+/ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น...ฤดูกาลขับขี่ช่วงเทศกาล Memorial Day หนุนในช่วงสั้น โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบมิ.ย.บวกขึ้น 1.74 และ 1.51 ดอลลาร์เป็น 62.72 และ 66.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ การที่สมาคมผู้ผลิตยานยนต์สหรัฐ (AAA) คาดการณ์ว่าความต้องการเชื้อเพลิงในสหรัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยจำนวนประชาชนที่ขับขี่ในช่วงเทศกาลวันหยุด Memorial Day ปีนี้สูงสุดในรอบ 10 ปี อย่างไรก็ตาม เรามองว่าอาจเป็น Sentiment บวกในช่วงสั้นๆ โดยจำนวนคนที่ออกมาขับขี่มากขึ้นน่าจะเป็นเพราะราคาน้ำมันที่ลดลงมามาก แต่รายได้ของประชาชนยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก
- สัญญาทองคำ COMEX ปิดลดลง 4.6 ดอลลาร์ ที่ 1,204.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นผลจากการขาดปัจจัยกระตุ้นใหม่ พัฒนาการที่ดีขึ้นในการเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ EU และ IMF ทำให้ความเสี่ยงน้อยลง ขณะที่ตลาดหุ้นมีแรงจูงใจด้าน Upside ในระยะสั้นที่ดีกว่า
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
KTB ตั้งสำรองค่าเผื่อฯเพิ่ม 3.6 พันล้านบาทในเดือนเม.ย.58 ซึ่งทำให้สมมติฐานการตั้งสำรองค่าเผื่อฯในประมาณการของเราจะเพิ่มขึ้น และทำให้คาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้จะลดลงจากเดิมราว 6% เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท (เดิมคาดว่ากำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท) ต่ำลงประมาณ 9% จากกำไรสุทธิปี 57 ที่ 3.32 หมื่นล้านบาท โดยหนี้จัดชั้นจับตาเป็นพิเศษ (ค้างชำระ 2 งวด) ของธนาคารในสิ้น 1Q58 เพิ่มขึ้น 1 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปี 57 ทำให้มีความเสี่ยงเรื่องการด้อยค่าของคุณภาพสินทรัพย์มากขึ้น ซึ่งธนาคารกล่าวว่าส่วนใหญ่มาจากสินค้าในกลุ่มที่พักอาศัยและสินเชื่อ
+ TTCL จะมี Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 58...แนวโน้มระยะยาวแข็งแกร่ง ขณะนี้บริษัทมีมูลค่างานในมือเท่ากับ 93 พันล้านบาท (รวมงานก่อสร้างโรงไฟฟ้า 1,280 MWที่ประเทศเมียนมาร์มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท)และคาดว่าจะได้งานใหม่เข้ามาอีกราว 1 หมื่นล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ (ในเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้จะมีงานปิโตรเคมีในประเทศมูลค่า 1.6 พันล้านบาท หลังจากนั้นจะมีงาน EPC ในมาเลเซียมูลค่า 100-200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และงานในประเทศเวียดนามมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ทำให้จะมีมูลค่างานในมือสูงถึง 1 แสนล้านบาทในสิ้นปี 58 ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท สำหรับงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เมียนมาร์ขณะนี้ได้เข้าไปดูพื้นที่ก่อสร้างและเตรียมกู้เงินสถาบันการเงิน คาดว่าจะได้จากสถาบันการเงินญี่ปุ่น
เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 58 จะเติบโตแข็งแกร่ง 45% และ 51% โดยมาจากอัตรากำไรที่สูงขึ้นหลังงานที่มีผลขาดทุนในประเทศการ์ตาหมดไป ซึ่งเราเริ่มเห็นอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิเริ่มพลิกฟื้นเป็น 7.2% และ 2.0% ใน 1Q58 จาก 2.6% และ 0.9% ใน 4Q57 และคาดว่าจะขยับขึ้นเป็นระดับปกติที่ 8-10% และ 4-5% ได้ในช่วง 2H58 ซึ่งทำให้อัตรากำไรสุทธิปี 58-59 เพิ่มเป็น 3.3% จาก 2.5% ในปี 57
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q58 คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบ QoQ โดยมาจาก 1) รายได้จากธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตที่ขยายจาก 80 MW เป็น 120 MW และ 2) ผลขาดทุนในโครงการการ์ตาน้อยลง
แนวโน้มระยะยาวดี โดยบริษัทมีมูลค่างานในมือสูงและมั่นคง รวมถึงจะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าที่แน่นอนราวปีละ 2.2-2.4 หมื่นล้านบาทเมื่อใช้กำลังการผลิตเต็มที่ (เริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าปี 2559 ใช้เวลา 4-6 ปี เริ่มผลิตไฟฟ้าเฟสแรก 2563 และใช้กำลังการผลิตเต็มที่ในปี 2565) เข้ามามากขึ้น ทำให้ธุรกิจผันผวนน้อยลง เสถียรภาพของผลประกอบการดีขึ้น รวมถึงมีอัตรากำไรที่สูงขึ้น เพราะธุรกิจโรงไฟฟ้ามีอัตรากำไรสุทธิราว 12-15% ขณะที่ธุรกิจ EPC อยู่ในระดับ 3-5% ในเชิงกลยุทธ์ เราเห็นว่า TTCL เป็นหุ้นหนึ่งที่น่าสนใจลงทุนเมื่อพิจารณาจากโครงสร้างธุรกิจและแนวโน้มรายได้และกำไรในระยะกลาง-ยาว การอ่อนตัวของราคาหุ้นในช่วงนี้เป็นจังหวะซื้อสะสม เราให้ราคาพื้นฐานระยะยาวไว้ที่ 49 บาท (ใช้วิธี DCF ที่รวมธุรกิจโรงไฟฟ้า 1,280 MW)
- PTTEP ปรับลดเป้าหมายการผลิต & ขายปี 58 ลง เป็นเติบโต 3-6% จากเดิม 6% ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ด้านราคาน้ำมันเฉลี่ยมองว่าปีนี้อยู่ที่ 55 ดอลลาร์/บาร์เรล (ใน 1Q58 เท่ากับ 51 ดอลลาร์/บาร์เรล) ... เรายังให้ Rating การลงทุนเป็นเต็มมูลค่า ราคาพื้นฐาน 109 บาท โดยหากจะคงน้ำหนักการลงทุนหุ้นพลังงานในพอร์ตเอาไว้ก็แนะนำให้ Switch จาก PTTEP ไปลงทุนใน PTT เนื่องจากมีการ Diversify ของรายได้ที่ดีกว่า และคาดว่าผลประกอบการปี 58 จะฟื้นตัวแกร่งจากฐานที่ต่ำในปีก่อน
+ กลุ่ม CHO ชนะการประกวดราคางานจัดหาและซ่อมบำรุงรถโดยสาร NGV ของขสมก.ล็อตแรก 489 คัน มูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท โดยจะเซ็นสัญญาภายในเดือนพ.ค.นี้และทยอยรับมอบรถภายในส.ค.58 ทั้งนี้ CHO ถือหุ้นในบริษัท JV ที่ชนะประมูลงาน 50%...ระยะสั้นจะมีการเข้ามาซื้อเก็งกำไร CHO
SME ขนาดเล็ก นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารของ DBSV แนะนำถือ KTB
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]