- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 13 May 2015 18:46
- Hits: 1456
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"มีโอกาสรีบาวด์...แต่อาจจำกัด"
Top Picks-Fund May 2015 : Fundamental : AP, KBANK, MINT, TTCL, WHA Dark Horse: RCL, SAMTEL
Top Picks -Fund Today: -
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, MK, SPALI, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : STA 37%, KTIS 28%, BJC 25%, MC 22%, BIGC 22%, EGCO 18%
Technical View ภาพระยะสั้นกลับเป็นลบอีกครั้ง แต่อาจมีเด้งสั้นก่อนลงต่ำต่อ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1490-1500 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 995-1000 ค่าลบ
Top Picks-Tech Today : AUCT, BH, GFPT, BRR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยร่วงแรงและ Underperform ตลาดภูมิภาค ปิดตลาด -15.58 จุด ที่ 1485.72 โดยแรงขายกระจายไปยังกลุ่มต่างๆ อย่างไรก็ตาม มีการเลือกซื้อหุ้น Defensive ปันผลสูงอยู่บ้าง เช่น JASIF, RATCH, ADVANC ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติ สถาบันในประเทศ และพอร์ตบล.ขายสุทธิ ขณะที่รายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ
ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสรีบาวด์ตามภูมิภาคหลังจากร่วงลงแรง ปัจจัยหนุน คือ ราคาหุ้นพื้นฐานดีที่ต่ำลง, การเข้าซื้อเก็งกำไร/ลงทุนในหุ้นที่จะมีผลประกอบการดีในระยะต่อไป, การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหนุนการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี (PTT, TOP, IRPC, SCC, IVL เป็นต้น) และการออกทริกเกอร์ฟันด์ของบลจ.ต่างๆ หลัง SET Index ร่วงลงมาต่ำกว่า 1500 จุดอีกรอบ ซึ่งตามกระแสข่าววันนี้ระบุว่าวงเงินในการออกจะมากกว่า 7 พันล้านบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน และความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ และสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดหลังจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาฟื้นตัวและเติบโตดีขึ้น ประเด็นที่ควรระวัง คือ การอ่อนค่าของเงินบาทจะกระทบกับบริษัทที่นำเข้าสุทธิเช่น TVO และบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมาก เช่น THAI ที่จะพลิกกลับไปเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนได้อีก
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ แต่มีโอกาสเด้งก่อนลงต่ำต่อ กรอบแนวต้านอยู่ที่ 1490-1500 แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี แนะนำให้ Wait & See (หลังจากที่เราแนะนำให้ลดพอร์ตไปแล้วก่อนหน้า) สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นที่เข้ามาใหม่ คือ GFPT, BH หุ้นที่อยู่ใน List ต่อ คือ AUCT, BRR, HANA
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- กรีซ : รมว.คลังกล่าวว่ากรีซอาจเผชิญวิกฤตสภาพคล่องในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดยระบุว่าขณะนี้สถานการณ์ทางการเงินของกรีซเป็นประเด็นที่มีความเร่งด่วนอย่างมาก และกรีซมีเวลาถึงสิ้นมิ.ย.ที่จะบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้เพื่อขอรับความช่วยเหลือด้านการเงินรอบใหม่
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจขนาดย่อมของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 96.9 ในเดือนเม.ย. จาก 95.2 ในเดือนมี.ค. เพราะได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของตัวเลขจ้างงาน (ตัวเลขสำรวจโดยสมาพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติของสหรัฐ - NFIB)
สหรัฐ : หนี้ภาคครัวเรือนสหรัฐใน 1Q58 เพิ่มขึ้นไม่มาก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่าระดับหนี้ภาคครัวเรือนของสหรัฐ (ได้แก่ เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย, รถยนต์, เพื่อการศึกษา และหนี้บัตรเครดิต) ขยับขึ้นเพียง 0.2% ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 11.85 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดนับตั้งแต่ 2Q57
- ตลาดหุ้นสหรัฐลดลงต่อ...วิตกกรีซขาดสภาพคล่องกดดัน เมื่อคืนนี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลง 0.2-0.35% ปัจจัยกดดันหลัก คือ ความกังวลปัญหาสภาพคล่องทางการเงินและการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซ โดยมีปัจจัยช่วยพยุงคือ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจขนาดย่อมสหรัฐที่ฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนเม.ย.58
+ ราคาน้ำมันดีดขึ้น รับข่าวโอเปกปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์ & สถานการณ์ตึงเครียดในเยเมน โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 60.75 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT เพิ่มขึ้น 1.95 ดอลลาร์ ปิดที่ 66.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ โอเปกออกรายงานประจำเดือนพ.ค.58 ซึ่งคาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันปีนี้จะเพิ่มขึ้น 1.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน (+ 50,000 บาร์เรล/วันจากที่คาดการณ์ในเดือนเม.ย.58) นอกจากนั้นสถานการณ์การโจมตีทางอากาศของซาอุดิอาระเบียและชาติพันธมิตรต่อกลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนก็กดดันด้วย
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบมิ.ย.เพิ่มขึ้น 9.4 ดอลลาร์ หรือ 0.79% ปิดที่ระดับ 1,192.40 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยความกังวลเรื่องกรีซทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพิ่มเติม
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
+ RCL : กำไรสุทธิ 1Q58 พลิกเป็นกำไร 173 ล้านบาท (EPS : 0.21 บาท) จากที่ขาดทุนสุทธิ 159 ล้านบาทใน 1Q57 ซึ่งเป็นผลจากต้นทุนค่าน้ำมันและต้นทุนดำเนินงานที่ลดลงมากกว่าปริมาณการขนส่ง & รายได้ ทั้งนีปริมาณการขนส่งตู้สินค้าลดลง 8%YoY รายได้หดตัว 18%YoY แต่ต้นทุนการเดินเรือลดลงมากกว่าที่ 26%YoY + MSCI Thailand Index รอบพ.ค.58 - ไม่มีหุ้นที่นำเข้าและตัดออก แต่มีเพิ่ม Weight ใน BDMS, CPF, IVL และลดใน PTT, KBANK-F, KBANK, SCB, ADVANC, CPALL, PTTEP, SCC-F, AOT, TRUE ทั้งนี้จะมีผลตั้งแต่ 29 พ.ค.58
+ บลจ.จะออกทริกเกอร์ฟันด์มูลค่ารวมกว่า 7 พันล้านบาท หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงและ SET Index ลงมาต่ำกว่า 1500 จุด โดยหุ้นหลักที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันในประเทศ เช่น BBL, KBANK, CPALL, SCC, CK, PTT, ADVANC, INTUCH, CPN, AP, LPN, QH, BDMS, AOT, MINT, TUF เป็นต้น
/- กรณีสหฟาร์มกระทบ Sentiment ธนาคารเจ้าหนี้ (โดยหลักคือ KTB) โดยล่าสุดตามข่าวระบุว่าบริษัทสหฟาร์มและบริษัทย่อย คือ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส มีมูลหนี้ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ 1.03 และ 1.04 หมี่นล้านบาท โดยมี KTB เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ แต่ภายหลังครบกำหนดยื่นขอรับชำระหนี้พบว่ามีเจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ถึง 5.5 แสนล้านบาท ซึ่งกรมบังคับคดีจะมีการไต่สวนสืบพยานก่อนสรุปมีคำสั่งจำนวนเงินที่ให้ชำระเจ้าหนี้แต่ละราย และถ้าเจ้าหนี้รายใดไม่พอใจก็ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง
สำหรับสถาบันการเงินเจ้าหนี้หลักของกลุ่มสหฟาร์มเฉพาะภาระหนี้เงินต้นราว 11,500 ล้านบาท ประกอบด้วย KTB 6,900 ล้านบาท (60% ของหนี้เงินต้น), TBANK 2,200 ล้านบาท, ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 1,600 ล้านบาท, SCB 540 ล้านบาท เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีดอกเบี้ยค้างชำระจำนวนหนึ่งและหนี้เงินกู้นอกระบบสถาบันการเงินอีกราว 2 หมื่นล้านบาท (เป็นเจ้าหนี้ซัพพลายเออร์ทั้งในกลุ่มบริษัทสหฟาร์มเอง และซัพพลายเออร์ทั่วไปอีกประมาณ 50 ราย) - ที่มา ฐานเศรษฐกิจ 14 ก.ค.2556
ปัจจุบันกลุ่มสหฟาร์มผลิตไก่อยู่ที่ 4 แสนตัว/วัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีปัญหาว่าสินค้าไก่สดแช่แข็งส่งออกไปยุโรปของบริษัทถูกตรวจพบเชื้อปนเปื้อนและจะถูกส่งกลับหรือทำลายทิ้ง 8 ตู้คอนเทนเนอร์ (อยู่ที่ยุโรปแล้ว) และมีอีกไม่น้อยกว่า 50 ตู้ที่กำลังเดินทางไป (in Transit) ซึ่งในส่วนหลังนี้น่าจะต้องกลับมาไทยเพื่อเคลียร์ปัญหาและตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนที่จะส่งไปใหม่อีกรอบ อย่างไรก็ตาม จากกรณีไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นว่ายุโรปจะยกเลิกการนำเข้าไก่จากไทย แต่จะมีการตรวจสอบเข้มงวดมากขึ้นเท่านั้น
+/- บาทอ่อนเป็นบวกกับกลุ่มส่งออก & มีรายได้เป็นเงินต่างประเทศ แต่เป็นลบกับผู้นำเข้าสุทธิและบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศ โดยกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากบาทอ่อนหลัก คือ อิเลคทรอนิสก์ (หุ้นเด่น KCE), อาหารส่งออก (หุ้นเด่น TUF), ชิ้นส่วนยานยนต์, อัญมณีและเครื่องประดับ ฯลฯ และบริษัทที่มีรายได้อยู่ในรูปเงินตราต่างประเทศ (หุ้นเด่น THCOM)
แต่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบ คือ บริษัทนำเข้าสุทธิ เช่น TVO (นำเข้าวัตถุดิบถั่วเหลือง) และบริษัทที่มีหนี้ต่างประเทศมาก เช่น THAI ซึ่งจะกลับมามีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (จากที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 9.6 พันล้านบาท)
- GLOBAL ถูกกระทบจากพายุฤดูร้อนในจ.มหาสารคาม โดยโครงหลังคาที่จอดรถของสาขาล้มพังลงมาทำความเสียหายให้กับรถยนต์ที่จอดในบริเวณดังกล่าว ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทกล่าวว่ามีประกันภัยครอบคลุมความเสียหาย อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์โครงหลังคาล้มพังเกิดขึ้นกับบริษัทมาแล้วก่อนหน้า ซึ่งเรื่องนี้อาจส่งผลกระทบต่อ Sentiment การลงทุนในหุ้นบริษัทในระยะสั้นได้
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]