- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 12 May 2015 17:48
- Hits: 1129
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ยังต้องระวังการแกว่งลง"
Top Picks-Fund May 2015 : Fundamental : AP, KBANK, MINT, TTCL, WHA Dark Horse: RCL, SAMTEL
Top Picks -Fund Today: AP
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, MK, SPALI, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : KTIS 43%, STA 35%, SCCC 35%, BJC 35%, M 34%, BIGC 32%, ADVANC 28%, PSL 26%
Technical View ภาพระยะสั้นกลับเป็นลบอีกครั้ง แต่อาจมีเด้งสั้นก่อนลงต่ำต่อ
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1510-1520 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 1000-1010 ค่าลบ
Top Picks-Tech Today : BBL, HANA, EGCO, PRIN, AUCT, MAJOR, TUF, BRR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : BIGC , CHG (ปรับจากซื้อ เป็น ถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดผันผวน โดยปรับขึ้นไปราว 10 จุด แล้วอ่อนลงมาปิดลบ 9.21 จุดที่ 1501.30 โดยแรงขายขยับมาที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีหลังจากรับรู้การพลิกฟื้นของกำไรใน 1Q58 แล้ว รวมทั้งราคาน้ำมันดิบยังถูกจำกัดขาขึ้นด้วยอุปทานที่สูง นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิ ส่วนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อ ด้านพอร์ตบล.และรายย่อยขายสุทธิ
การเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้ที่ยังไม่คืบหน้ายังกดดันแม้ว่ากรีซจะชำระหนี้ล่วงหน้า IMF 750 ล้านยูโรล่วงหน้าไปแล้ว 1 วันก็ตาม ส่วนในประเทศเป็นการติดตามรายงานผลประกอบการ 1Q58 ที่ทยอยออกมากมากขึ้น และจะสิ้นสุดในปลายสัปดาห์นี้ เราประเมินว่ามีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับลดคาดการณ์ EPS Growth ของตลาดลงหลังจบรายงานกำไรสุทธิรอบนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้ผลประกอบการที่คาดว่าจะดีขึ้นใน 2H58 อาจไม่มากเท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำเลือกซื้อหุ้นที่จะมีผลประกอบการแข็งแกร่งในปี 58 โดยถูกกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจำกัดเนื่องจากมีงานในมือที่พร้อมรับรู้รายได้อยู่แล้ว หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ แต่มีโอกาสเด้งก่อนลงต่ำต่อ กรอบแนวต้านอยู่ที่ 1510-1520 หรือ 1530 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกแบบหวัง Gap สั้น ค่าลบดูไม่ดี แนะนำให้ลดพอร์ตตาม/Stop Loss สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นที่เข้ามาใหม่ คือ AUCT, BRR, HANA หุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit คือ SVI, TAKUNI
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- กรีซ : ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซนเมื่อวานนี้ (11 พ.ค.) ยังไม่บรรลุข้อตกลงเรื่องแผนปฎิรูป และไม่สามารถหาทางคลี่คลายวิกฤตหนี้สินของกรีซ
/- กรีซ : รัฐบาลอาจทำประชามติเรื่องมาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งในส่วนของเจ้าหนี้รายใหญ่ คือ เยอรมนีก็หนุนให้ประชาชนกรีซได้ตัดสินใจเกี่ยวกับแผนปฎิรูปเพื่อขอรับความช่วยเหลือทางการเงินรอบใหม่ อย่างไรก็ตาม การทำประชามติอาจทำให้ความเสี่ยงของรัฐบาลกรีซและรัฐบาลยูโรโซนในการแก้ปัญหาหนี้สินกรีซเพิ่มขึ้น
/- สหรัฐ : ความกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลับมา หลังประธานเฟด สาขาซานฟรานซิสโก กล่าวว่าเฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ โดยคณะกรรมการ FOMC จะมีการพิจารณากันในการประชุมครั้งต่อๆ ไปเมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาในเชิงบวก ทั้งนี้จะมีการประชุมเฟดรอบต่อไปในวันที่ 14-15 มิ.ย.58 สำหรับกระแสคาดการณ์หลักในขณะนี้ประเมินว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนก.ย.58 ส่วนกระแสรองจะเป็นช่วงปลายปีถึงต้นปี 59
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงเพราะวิตกหนี้กรีซ & ขายทำกำไร โดยดัชนี DJIA, NASDAQ และ S&P500 อ่อนลง 0.2-0.5% นำโดยกลุ่มพลังงานที่ลดลงตามราคาน้ำมันดิบ
- ภาวะอุปทานสูงกดดันราคาน้ำมันดิบต่อ ทั้งนี้มีรายงานว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบสหรัฐรอบสัปดาห์สิ้นสุด 1 พ.ค.58 ลดลงเพียง 4 พันบาร์เรล/วัน เป็น 9.369 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนกลุ่มโอเปกเปิดเผยว่าปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเดือนเม.ย.ลดลงเพียง 1 พันบาร์เรล/วันเป็น 31.295 บาร์เรล/วัน สัญญาน้ำมันดิบ WTI เมื่อคืนนี้ลดลง 14 เซนต์ ปิดที่ 59.25 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ลดลง 48 เซนต์ ปิดที่ 64.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบมิ.ย.ร่วงลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ -0.50% ปิดที่ระดับ 1,183.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่าหลังตัวเลขภาคแรงงานออกมาแข็งแกร่ง
- ซิตี้กรุ๊ปฯ อาจยอมรับความผิดฐานปั่นอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐออกแถลงการณ์ว่าทางธนาคารอาจจะยอมรับผิด กรณีที่ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐกล่าวหาว่าทำการปั่นอัตราแลกเปลี่ยน และธนาคารกำลังหารือกับทางกระทรวงเกี่ยวกับการยุติข้อกล่าวหาดังกล่าว
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
+ กลุ่มท่องเที่ยว : ธปท.รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1Q58 เติบโตถึง 23.5%YoY บ่งชี้การฟื้นตัวของธุรกิจการบินและโรงแรม สำหรับอัตราการเข้าพักของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 68.5% และ Cabin Factor ของธุรกิจการบินสูงกว่า 80% ในไตรมาสนี้ นอกจากนั้น ราคาน้ำมันที่ลดลงช่วยลดต้นทุนของธุรกิจสายการบิน และเงินบาทแข็งค่าทำให้ธุรกิจสายการบินมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยเสริมด้วย คาดว่าผลประกอบการ 1Q58 ของกลุ่มสายการบินและโรงแรมจะออกมาดีเพราะมีการฟื้นตัวทั้งกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสายการบินมีปมปัญหา ICAO ที่ยังกดดันอยู่ ดังนั้นหุ้นที่เราเลือกเป็น Top Pick ในกลุ่มนี้จึงเป็นธุรกิจสนามบิน คือ AOT ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มโรงแรมเป็น CENTEL และ MINT เชิงกลยุทธ์ แนะนำทยอยซื้อลงทุนจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัว
+ BJCHI : ได้งานใหม่ที่บราซิลมูลค่า 5.4 พันล้านบาท ทำให้ Backlog เพิ่มเป็น 7 พันล้านบาท จะทยอยรับรู้ในปี 58-59 (สำหรับงานใหม่นี้จะรับรู้รายได้ในปี 58 เท่ากับ 2.5 พันล้านบาทและอีก 2.9 พันล้านบาทจะรับรู้รายได้ในปี 59) บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในปีนี้จะเติบโตได้ 15% ตามเป้าหมาย สำหรับการประมูลงานใหม่ยังดำเนินการต่อเนื่อง โดยงานที่เป็น High Potential มีมูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท สำหรับ Earning Momentum คาดว่ากำไร 2H58 จะมากกว่า 1H58 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้จากงานรูปออสเตรเลียดอลลาร์ที่มีผลขาดทุนจาก FX แต่ 3Q-4Q จะรับรู้รายได้งานรูปดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ซึ่งบาทอ่อนค่าจะช่วยหนุนทั้งรายได้และอัตรากำไรในเทอมเงินบาทให้ดีขึ้น ประมาณการกำไรสุทธิปี 58-59 เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี ในเชิงกลยุทธ์แนะนำทยอยซื้อจังหวะอ่อนตัว เพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว
โครงการรถไฟไทย-จีน - เร่งสำรวจออกแบบคาดจะเริ่มก่อสร้างต.ค.58 ใช้เวลา 3 ปี แล้วเสร็จปี 61 โดยการสำรวจออกแบบ ช่วงที่ 1 กรุงเทพฯ-แก่งคอย ระยะทาง 133 กม. จะเสร็จในเดือนก.ย.58 และเริ่มก่อสร้างได้ใน ต.ค.58 ช่วงที่ 2 แก่งคอย-มาบตาพุด ระยะทาง 246.5 กม. ช่วงที่ 3 แก่งคอย-นครราชสีมา ระยะทาง 138.5 กม. คาดว่าจะเสร็จในก.ย.-ต.ค.58 เริ่มก่อสร้างได้ใน ต.ค.-พ.ย.58 และช่วงที่ 4 นครราชสีมา-หนองคาย ระยะทาง 355 กม. จะเริ่มสำรวจใน ม.ค.-ก.พ.59 ด้านเม็ดเงินลงทุน ในเบื้องต้นคาดว่าจะใช้จาก EXIM Bank ของจีนซึ่งจะได้ข้อสรุปประมาณเดือนส.ค.58
- NPL บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น ธปท.รายงานว่า NPL สิ้นมี.ค.58 ของบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 21.97%YoY เป็น 8.93 พันล้านบาท ส่วน NPL สินเชื่อส่วนบุคคคลสูงขึ้น 27.41%YoY เป็น 1.55 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา กำลังซื้อชะลอตัว เรายังคงมีมุมมองที่เป็นกลาง (Neutral) กับกลุ่มสถาบันการเงิน โดยประเมินว่าความเสี่ยงด้าน NPL และการตั้งสำรองค่าเผื่อฯจะเพิ่มขึ้น และกดดันให้ผลประกอบการปี 58 จะเติบโตได้ไม่มาก แต่ยังมีความมั่นคงและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ รวมถึงมีความพร้อมที่จะเติบโตเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว เชิงกลยุทธ์ เน้นซื้อหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินเมื่อราคาอ่อนตัว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]