- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 08 May 2015 16:47
- Hits: 1428
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
"ลุ้นรีบาวด์หลังลงแรง"
Top Picks-Fund May 2015 : Fundamental : AP, KBANK, MINT, TTCL, WHA Dark Horse: RCL, SAMTEL
Top Picks -Fund Today: KBANK
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, MK, SPALI, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : BCH 36%, LPN 20%, BLAND 16%, PTT 14%, ROBINS 12%
Technical View ภาพระยะสั้นเป็นลบ แต่การลงเร็วจึงอาจมีรีบาวด์ทางเทคนิคได้
Support Resistance Stop loss
SET 1490-1480 1510-1520,1530 ค่าลบ
SET50 980-970 1000-1010,1020 ค่าลบ
Top Picks-Tech Today : KTB, KBANK, TCMC, SCC, THRE, MAJOR
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยดิ่งแรง ปิดตลาดลดลง 21.57 จุดมาที่ 1498.31 โดยแรงขายอยู่ในกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งนำลงมาก่อนหน้านี้แล้ว ปัจจัยกดดัน คือ การลดลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ หลังจากประธานเฟดออกมาเตือนว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจส่งกระทบตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก พอร์ตบล.และรายย่อยนำขายสุทธิ ขณะที่ต่างชาติขายสุทธิเพียงเล็กน้อย (69 ล้านบาท) ด้านสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.3 พันล้านบาท
โดยภาพรวมตลาดหุ้นอาจมีรีบาวด์ทางเทคนิคได้จากการร่วงแรง แต่การขาดปัจจัยบวกที่มีนัยสำคัญมากระตุ้นอาจทำให้ระยะทางของการปรับขึ้นจะจำกัด ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาหนี้กรีซยังถ่วงตลาด ดังนั้นจึงยังต้องระมัดระวังความผันผวนทางลงของตลาดต่อไป สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะมีเด้งในระยะสั้นได้เป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นผลจากการที่หุ้นลงแรงในช่วงที่ผ่านมาก (SETBANK ร่วงลงจากระดับสูงสุดของปีนี้มาแล้ว 26%) ขณะที่การเพิ่มขึ้นของ NPL ยังไม่รุนแรงและอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ดังนั้นหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้จึงเป็น KBANK
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ แต่ก็มีสิทธิรีบาวด์จากภาวะขายมากเกินไปในกราฟรายนาที กรอบแนวต้านอยู่ที่ 1510-1520, 1530 จุด แนวรับ 1490-1480, 1460 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวกแบบหวัง Gap สั้น สำหรับการ SCAN หาหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นที่เข้ามาใหม่ คือ SCC, KTB, KBANK, SCB ส่วนหุ้นที่หลุด List เป็น TRC, THCOM, RCL, BJCHI, WHA, TOP, BCP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
สหรัฐ : จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรอบสัปดาห์สิ้นสุด 2 พ.ค. เพิ่มขึ้น 3,000 ราย แตะ 265,000 ราย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวปรับตัวขึ้นไม่มากเท่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 275,000 ราย
สหรัฐ : จับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนเม.ย. ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย
+ กรีซ : รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศสกล่าวว่าการเจรจาระหว่างกรีซกับเจ้าหนี้มีแนวโน้มดีขึ้น และเรียกร้องให้มีการประนีประนอมกันเพื่อไม่ให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะมีการประชุมรัฐมนตรีคลังยูโรโซนรอบใหม่วันจันทร์ที่ 11 พ.ค.นี้ ก่อน 1 วันที่กรีซจะมีหนี้ครบกำหนดชำระ IMF มูลค่า 750 ล้านยูโรในวันที่ 12 พ.ค.นี้
จีน : กลายเป็นแหล่งลงทุนอันดับ 2 ของเกาหลีใต้ไปแล้วในปี 57 ด้วยมูลค่าเงินลงทุน 1.324 แสนล้านUS$ แซงสหภาพยุโรปที่เคยเป็นอันดับ 2 ส่วนอันดับ 1 ยังคงเป็นสหรัฐ มีมูลค่าเงินลงทุนปีก่อน 1.736 แสนล้านUS$ และสหภาพยุโรปเป็นอันดับ 3 ที่ 1.272 แสนล้านUS$ บ่งชี้ว่าจีนเป็นแหล่งที่ FDI จะเข้าไปลงทุนมากขึ้น เพราะมีจำนวนแรงงานมาก ขยายสาธารณูปโภคได้อย่างรวดเร็ว และมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี จากเมืองที่ขยายตัวออกไปและจำนวนประชากรที่สูงมาก
+ ตลาดหุ้นสหรัฐรีบาวด์ (+0.4-0.5%) หนุนโดยตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด ผนวกกับมีการเข้าซื้อเก็งกำไรกลุ่มเทคโนโลยีที่ผลดำเนินงานออกมาดี เช่น อาลีบาบา, ยาฮู, กูเกิล เป็นต้น และหุ้นสายการบินอันเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง
- หุ้นกลุ่มพลังงานกลับมาถูกกดดันจากราคาน้ำมันร่วงลง & Sell on Fact โดยสัญญาน้ำมันดิบล่าสุดของ WTI ลดลง 1.99 ดอลลาร์ ปิดที่ 58.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ลดลง 2.23 ดอลลาร์ ปิดที่ 65.54 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งราคาน้ำมันดิบได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของ US$ และอุปทานน้ำมันดิบที่ยังคงสูงทั้งในกลุ่มโอเปกและสหรัฐ
ราคาถ่านหินมีความเสี่ยงขาลงจำกัดแต่ก็ปรับขึ้นได้ไม่มาก จีนประกาศว่าจะลดกำลังการผลิตส่วนเกินของอุตสาหกรรมถ่านหินลง 77.79 ล้านตัน และปิดเหมืองถ่านหิน 1,254 แห่งในปี 58 รวมถึงจะส่งเสริมและพัฒนาพลังงานทดแทน & พลังงานทางเลือกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมากขึ้น ทั้งนี้จีนใช้ถ่านหินมาผลิตพลังงานสูงถึง 66% ขณะที่เฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 35% อย่างไรก็ตาม การปรับลดการผลิตของจีนก็คิดเป็นเพียง 2% ของปริมาณการผลิตทั้งหมดเท่านั้น ขณะเดียวกันอุปสงค์ถ่านหินในโลกก็มีแนวโน้มที่จะน้อยลงหลังจากประเทศต่างๆ หันไปให้ความสำคัญกับการผลิตและใช้พลังงานทดแทน & พลังงานทางเลือกมากขึ้น เราจึงมีมุมมองที่เป็น Neutral กับหุ้นถ่านหิน คือ BANPU ที่ระดับราคาปัจจุบัน (29 บาท)
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
/+ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : NPL เพิ่มแต่อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ผู้บริหารธนาคารกล่าวว่า NPL มีการปรับขึ้นในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจซบเซา แต่ไม่ได้มีความเสี่ยงรุนแรงและอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ การตั้งสำรองค่าเผื่อฯมีโอกาสเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ ยังผลให้กำไรสุทธิของกลุ่มจะเติบโตในอัตราที่น้อยลงจากคาดการณ์เดิม (ทาง DBS ประมาณการอัตราการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 9%) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาแล้ว 26% จากระดับสูงสุดของปีนี้ สะท้อนความวิตกกังวลเรื่อง NPL และการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการกำไรไปแล้วพอสมควร ขณะเดียวกัน นักลงทุนสถาบันที่ได้ถ่วงน้ำหนักการลงทุนมากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ก็ได้ปรับพอร์ตการลงทุนไปแล้ว กลยุทธ์ : ทยอยซื้อลงทุน โดยเฉพาะจังหวะอ่อนตัว สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค หุ้นเด่นในระยะสั้น เป็น KBANK (แนวต้านระยะสั้น 210, 215 บาท), KTB (แนวต้านระยะสั้น 20-21, 21.5 บาท)
+ กลุ่มขนส่ง & สายการบิน & ยางมะตอย : Sentiment ระยะสั้นดีขึ้น หลังราคาน้ำมันดิบร่วงลง โดยหุ้นขนส่งที่เราชอบเป็น RCL เนื่องจากได้รับผลดีจากการลดลงของราคาน้ำมันชัดเจนเพราะเป็นกองเรือประเภทประจำเส้นทางเป็นหลัก ส่วน TTA และ PSL ได้รับประโยชน์จากน้ำมันลงจำกัดมากเนื่องจากเป็นเรือประเภทเช่าหมาลำ ซึ่งลูกค้าจะรับภาระต้นทุนค่าน้ำมันเอง ส่วนธุรกิจการบิน เราชอบ AOT ซึ่งทำธุรกิจผูกขาดด้านบริการสนามบินในประเทศไทย และอยู่ระหว่างการขยายบริการรองรับผู้โดยสารในสนามบินต่างๆ ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าหลังเปิด AEC จะมีจำนวนผู้โดยสารเข้ามามากขึ้นอีก สำหรับ TASCO คาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสรีบาวด์หลังร่วงลงแรงเมื่อวานนี้ แต่สัญญาณทางเทคนิคบ่งชี้ว่ายังควรระวังความเสี่ยงขาลง
+ LPN : กำไรสุทธิ 1Q58 ต่ำสุดในปีนี้...ทั้งปีกำไรโตก้าวกระโดด 42% รายงานกำไรสุทธิ 1Q58 ลดลง 17%YoY และ 61%QoQ โดยเป็นผลจากการรับรู้รายได้ต่ำลง 14%YoY อัตรากำไรขั้นต้นอ่อนลงเล็กน้อยเป็น 32% จาก 32.4% ใน 1Q57 และ 33.3% ใน 4Q57 โดยกำไรสุทธิ 1Q58 คิดเป็น 10% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 58 ของเรา แต่เราคาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสที่เหลือของปีนี้จะปรับขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง และ 1Q58 เป็นไตรมาสที่มีกำไรต่ำสุดของปีนี้ และกำไรสุทธิทั้งปี 58 จะเติบโตได้ก้าวกระโดด 42%YoY บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่เพิ่มใน 2H58 โดยใน 1Q58 เปิดขายใหม่เพียง 1 โครงการ และจะเปิด 2 โครงการใน 2Q58 ส่วนใน 2H58 จะเปิด 9 โครงการ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 23.40 บาท
THCOM: กำไรสุทธิ 1Q58 แข็งแกร่งที่ 540 ล้านบาท (EPS : 0.49 บาท) เติบโต 35%YoY โดยมาจากการรับรู้รายได้จากไทยคม 7 เต็มไตรมาส หลังเริ่มรับรู้ในปลายปี 57, รายได้จากไทยคม 4 (iPSTAR) สูงขึ้นจากลูกค้าในมาเลเซีย และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากบาทแข็งค่า แนวโน้มยังไปได้ดีในไตรมาสที่เหลือของปีนี้ คาดว่าบริษัทจะทยอยให้บริการลูกค้าที่จองไทยคม 7 ไว้ครบ 100% ได้ภายใน 3Q-4Q58 (ใน 1Q58 ให้บริการได้ราว 40%) นับว่า THCOM เป็นบริษัทที่มีกำไรเติบโตโดดเด่นในกลุ่มสื่อสารที่ราว 24% ในเชิงกลยุทธ์แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐานใน Consensus อยู่ที่ 49 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]