- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 April 2015 17:41
- Hits: 1161
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET มีสิทธิทรงตัวและเริ่มลุ้นดีดได้ ดังนั้นซื้อลบแล้วถือ...
กลยุทธ์ : หลังจากวานนี้ SET ปรับลงแล้วดีดกลับ ทำให้เริ่มมีลักษณะแกว่งทรงตัวได้บ้างแล้ว โดยเราคาดว่าอาจมีลุ้นแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนเพื่อเก็งกำไรหลังช่วงวันหยุดยาวได้เพราะ SET ปรับลงแรงมากแล้ว ดังนั้น FSS ยังแนะนำให้เลือกหุ้นค่อยๆ ทยอยซื้อช่วงลบได้ แล้วเน้นถือเพื่อรอรอบรีบาวด์ต่อไป
หุ้นเด่นทางเทคนิค : RCL, SPA, MAJOR(short)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET ยังปรับตัวไหลลงรุนแรงในระหว่างวัน หลังจากที่ประชุม กนง.มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ซึ่งแม้ว่าน่าจะส่งผลดีต่อ บจ.ต่างๆ ในอนาคต แต่ถือว่าสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนพอควร ซึ่งอาจแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจของไทยที่ย่ำแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็เป็นได้ จึงทำให้มีแรงขายลดความเสี่ยงออกมากดดัน รวมทั้งการเปรยถึงมาตรการที่จะหนุนให้เงินไหลออกได้คล่องขึ้น เพื่อกระตุ้นให้บาทอ่อนค่าและหนุนภาคส่งออกโดยยังไม่มีความชัดเจนออกมา จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนขายก่อนเพื่อรอดูมาตรการที่รัฐฯ จะประกาศในวันนี้อีกครั้ง ส่วนวันนี้(30 เม.ย.) จะเป็นวันสุดท้ายของ SET ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นต่างประเทศยังไม่สดใส แม้ว่าที่ประชุมเฟดเมื่อคืนนี้จะไม่ได้ส่งสัญญาณเกี่ยวกับกำหนดการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐที่ออกมาก็ขยายตัวน้อยกว่าคาด จึงทำให้ SET น่าจะยังมีแรงกดดันให้แกว่งตัวด้านลบอยู่ อย่างไรก็ตาม FSS คาดว่ากรอบการปรับลบมีสิทธิแคบลง และมีลุ้นแรงซื้อเก็งกำไรที่จะเข้ามาหนุนให้ SET ดีดขึ้นได้หลังปรับลงมาแรงมากแล้ว
แนวรับ 1522-1518 , 1516-1513 จุด
แนวต้าน 1526-1532 , 1535-1540 จุด
Fund Flow วานนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคในปริมาณที่หนาแน่น โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเชีย US$132 ล้าน ไทย US$89.2 ล้าน เกาหลีใต้ US$83 ล้าน และฟิลิปปินส์ US$16.4 ล้าน แต่ซื้อไต้หวัน US$243.4 ล้านบาท ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้อ่อนค่าต่อเนื่อง Flow น่าจะไหลออกต่อหลัง กนง. ปรับลดดอกเบี้ย
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) ผลประชุม FOMC ยังไม่มีการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตัวแปรทางเศรษฐกิจทั้ง ภาคแรงงาน และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนจะส่งสัญญาณชะลอ แต่ด้วยความที่เฟดมองเป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 1.8% ก็เข้าเป้าปีนี้ที่ 1.5-1.8% ไปแล้ว ระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้จะยังไม่ถูกเลื่อนออกไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐขึ้นเฉลี่ย 5bps. ตรงข้ามกับบ้านเราที่ดอกเบี้ยเป็นขาลง กระแสเงินมีโอกาสไหลออกต่อ
(+) กลุ่มลิสซิ่งได้รับประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยหากพิจารณาจากโครงสร้างการระดมทุน พบว่า MTLS (BUY TP Bt25) และ SAWAD (SELL TP Bt41) จะได้รับประโยชน์สูงสุดเนื่องจากมีเงินกู้ยืมระยะสั้นในอัตราส่วนมากที่สุดในกลุ่มราว 90% รองลงมาเป็น GL (BUY TP Bt15) ขณะที่ KTC SINGER และ ASK เป็นกลาง ส่วน TK (SELL) จะได้รับประโยชน์น้อยที่สุดเนื่องจากมีการระดมทุนเป็นระยะยาวมากกว่าระยะสั้นที่ราว 70%
(+) ERW คาดกำไรปกติ 1Q15 ของ ERW เติบโตก้าวกระโดด 168.4% Q-Q และ 4,384% Y-Y จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวโดดเด่นและเป็นช่วง Peak Season แม้แนวโน้ม 2Q15-3Q15 จะชะลอจากปัจจัยฤดูกาลแต่ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะจากปีก่อนที่ขาดทุนแรงจากปัญหาการเมือง เรายังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 277 ลบ. พลิกจากขาดทุน 170 ลบ. ในปีก่อน การตั้งกอง REIT ถือเป็นอีกหนึ่ง Catalyst เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 5.70 บาท
(0) SCC รายงานกำไรสุทธิ 1Q15 อยู่ที่ 11,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% Q-Q และ 32.1% Y-Y ดีกว่าที่เราคาด เนื่องจากกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีออกมาดีกว่าคาด หากไม่รวมกำไรจากการขายเงินลงทุนจะมีกำไรปกติใน 1Q15 เพิ่มขึ้น 8.3% Q-Q และ 14.4%Y-Y โดยธุรกิจปิโตรเคมีมีกำไรเพิ่มขึ้น 40% Q-Q และ 99% Y-Y ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างมีกำไรเพิ่มขึ้น 40%Q-Q แต่ลดลง 14%Y-Y จากความต้องการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศลดลงและราคาปูนที่ลดลง 2%Y-Y และธุรกิจกระดาษมีกำไรเพิ่มขึ้น 40% Q-Q แต่ลดลง 14% Y-Y เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2015 ขึ้น 5% มาอยู่ที่ 43,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% Y-Y และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 550 บาท จาก 520 บาท อิง DCF@WACC 8.5% ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PE 14.9 เท่าในปี 2015 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 14-15 เท่า และยังมี Upside จำกัดจากราคาเป้าหมายใหม่ปี 2015 นอกจากนี้เรายังกังวลว่าเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนแออาจจะมีผลกระทบด้านลบต่อธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปี ดังนั้นจึงปรับลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น ถือ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบหลังจาก FED ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับเงื่อนเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ที่โตน้อยกว่าคาด
ซึ่งจากตัวเลข GDP สหรัฐฯทที่น้อยกว่าคาดส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนลบค่อนข้างแรงเช่นกัน รวมถึงตลาดปิดทำการก่อนทราบผลการประชุม FED
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวในแดนลบเช่นกันจากบรรยากาศการลงทุนที่ไม่สดใสนัก
ค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงหลังกนง.ลดดอกเบี้ยอีกครั้งวานนี้ ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 32.80-32.95 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปิดที่ 58.58 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.52 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA รายงานว่าสต๊อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมันปรับตัวลดลงครั้งแรกในปีนี้
ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปิดที่ 1,210.00 ดอลาร์/ออนซ์ ลดลง 3.90 เหรียญ/ออนซ์ หลัง FED ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด แต่ขึ้นอยู่กับการพูดคุยในแต่ละการประชุมทุกครั้งต่อๆไป