- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 April 2015 15:37
- Hits: 1175
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
กลยุทธ์เลือกหุ้นที่คาดจะให้ผลตอบแทนชนะตลาดในช่วงหลังสงกรานต์ น่าจะได้ผลต่อเนื่องโดยหุ้นเด่นได้แก่ VNG ([email protected]), ADVANC (FV@B285), SCCC (FV@B455), SAMART (FV@B41) นอกจากนี้การที่ Howe Robinson บวกต่อเนื่องอีก 4% WoW จึงยังเลือก RCL (FV@B 13.10) เป็น Top Pick
กลยุทธ์การลงทุนหลังสงกรานต์ : VNG /ADVANC/WORK
หลังจากพักผ่อนกันยาวนานในช่วงเทศกาลสงกรานต์ สัปดาห์นี้เรากลับมาเปิดทำการกันอีกครั้ง แต่เชื่อว่านักลงทุนบางส่วนยังคงพักผ่อนอยู่ และ มีวันทำการซื้อขายเพียง 2 วันเท่านั้น สัปดาห์นี้จึงอาจจะดูเงียบเหงาอีกสัปดาห์ แต่คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก และ เชื่อว่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่เหลือของเดือน เม.ย. ดัชนีหุ้นน่าจะเคลื่อนไหวในแดนบวกได้ ทั้งนี้แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันรอบด้านทั้งปัญหาการเมือง และ เศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวไปแล้วในวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ตาม
ทั้งนี้จากการศึกษาข้อมูลในอดีตระหว่างปี 2553-2557 (Quantitative Analysis) พบว่าในช่วงเวลาที่เหลือหลังสงกรานต์จนถึงสิ้นในเดือน เม.ย. พบว่า ดัชนีตลาดจะให้ผลตอบแทน 3% ด้วยความน่าจะเป็น 100% สรุปว่าดัชนีหุ้นไทยจะบวกทุกๆ ปีหลังสงกรานต์ จากสถิติ 5 ปีที่ผ่านมา และ หากพิจารณารายกลุ่มพบว่ามีอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนชนะตลาด และ ให้ผลตอบแทนชนะตลาด ด้วยโอกาสที่ผลตอบแทนเป็น 80-100% สรุปได้ดังนี้คือ
ICT : ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.58% ด้วยความน่าจะเป็น 100% ซึ่งหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% คือ ADVANC(ซื้อ:FV@B285) ด้วยผลตอบแทน 5.79% ส่วนหุ้นอื่น ๆ มีความน่าจะเป็นเหลือ 80% แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า คือ JAS(ขาย:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 14.66%, SAMART(ซื้อ:[email protected]) 6%, DTAC(ถือ:[email protected]) 5.95% SAMTEL(ถือ:[email protected]) 5.95%
COMM : ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.99% ด้วยความน่าจะเป็น 80% โดยมีหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% คือ MAKRO(ถือ[email protected]) ด้วยผลตอบแทน 10.66% และที่มีความน่าจะเป็น 80% แต่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ BJC(ถือ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.21%, ROBINS(ซื้อ:[email protected]) 5.12% เลือก ROBINS เป็น Top pick เพราะมี upside สูงสุด
IMM : ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.59% ด้วยความน่าจะเป็น 100% หุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% และผลตอบแทนชนะตลาดคือ SNC(ซื้อ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.44%
TOURISM : ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.16% ด้วยความน่าจะเป็น 80% ซึ่งหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 80% และให้ผลตอบแทนชนะตลาดมีเพียง CENTEL(ซื้อ:[email protected]) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.58%
TRANS : ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.94% ด้วยความน่าจะเป็น 80% โดยมีหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 80% และให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ AOT(ถือ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.13%, BMCL(ขาย:[email protected]) 4.52% ซึ่งหุ้น BMCL ราคาปัจจุบันได้สะท้อนการควบรวมกิจการกับ BECL กลุ่มนี้จึงมีเพียง AOT น่าจะสนใจ
PROP : ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.54% ด้วยความน่าจะเป็น 100% โดยมีหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% และให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ ROJNA(ถือ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.43%, AP(ซื้อ:[email protected]) 6.67% HEMRAJ(ซื้อ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.38%, SF(ซื้อ:[email protected]) 5.97% SPALI(ซื้อ:[email protected]) 5.06% BLAND(na.) 4.98% SENA(ซื้อ:[email protected]) 4.77% QH(ซื้อ:[email protected]) 4.63% PF(ถือ:[email protected]) 4.33% อย่างไรก็ตามหลายหุ้นอาจจะมี upside จำกัด จึงเลือก SPALI เป็น Top pick
MEDIA : ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.33% ด้วยความน่าจะเป็น 100% หุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% และให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ WORK(ซื้อ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 15.24% และ MAJOR(ซื้อ:[email protected]) 4.02% รองลงมาคือ RS(ถือ[email protected]) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10.22% ด้วยความน่าจะเป็น 80% แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจาก RS มี upside จำกัด จึงเลือก WORK เป็น Top pick
HELTH : ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.68% ด้วยความน่าจะเป็น 80% แต่พบว่ามีเพียง VIBHA ที่มีความน่าจะเป็น 100% และให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือเฉลี่ย 8.2% รองลงมา คือ BDMS(ถือ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.56%
CONMAT : ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.21% ด้วยความน่าจะเป็น 100% โดยมีหุ้นที่มีความน่าจะเป็น 100% และให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด คือ VNG(ซื้อ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.45%, SCC(ซื้อ:[email protected]) 4.79% รองลงมาคือ มีความน่าจะเป็น 80% คือ DRT(ถือ:[email protected]) ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.43%, SCCC(ซื้อ:[email protected]) 3.98% และ TASCO(ถือ:[email protected]) 3.98% อย่างไรก็ตามหลายหุ้นอาจจะมี upside จำกัด จึงเลือก SCCC เป็น Top pick เนื่องจากยังมี upside กว่า 20%
นอกจากนี้แม้อุตสาหกรรมรายกลุ่มอาจจะไม่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่ปรากฏว่ายังมีรายหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ด้วยความน่าจะเป็นสูงเกิน 80% ได้แก่ SYNTEC(ซื้อ:[email protected]) (ผลตอบแทน 6.5% ความน่าจะเป็น 80%) และ CPF(ซื้อ:[email protected]) (ผลตอบแทน 6% ความน่าจะเป็น 80%) MCS (ซื้อ:[email protected]) (ผลตอบแทน 3.8% ความน่าจะเป็น 100%) CENTEL (ผลตอบแทน 4.6% ความน่าจะเป็น 80%) เป็นต้น
เมื่อพิจารณาองค์ประกอบทั้ง upside, PER ต่ำ และ Div.Yield แล้ว จึงเลือก Top picks คือ VNG([email protected]), ADVANC(FV@B285), SCCC (FV@B455), SAMART (FV@B41)
IMF คง GDP Growth ปีนี้ แต่ปรับเพิ่มของไทยขึ้น
IMF ปรับประมาณการ GDP Growth โลก เป็นครั้งที่ 2 ในปี 2558 (หลังจากปรับลดไปเมื่อเดือน ม.ค. 2558) โดยยังคงการคาดการณ์ปี 2558 ไว้ที่ 3.5% แต่ปรับเพิ่มปี 2559 เป็น 3.8% (จากเดิม 3.7%) โดย IMF มีมุมมองว่าโดยรวมเศรษฐกิจโลกจะยังอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่มีการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งประเทศเกิดใหม่หรือกำลังพัฒนาที่เป็นผู้ผลิตน้ำมัน จะได้รับผลกระทบหลักราคาน้ำมันที่ลดลง แต่ได้รับการชดเชยจากประเทศพัฒนาแล้วมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ทำให้โดยรวมยังคงประมาณการ GDP Growth โลก ปี 2558 ไว้ที่ระดับ 3.5% เท่าเดิม
โดยประเทศที่ถูกปรับเพิ่ม ได้แก่ ยุโรป ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย (IMF เห็นว่าบริโภคและลงทุนในประเทศที่เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น จากแรงหนุนราคาน้ำมันที่ลดลง แต่ยังกังวลกับภาคส่งออก ซึ่งคาดว่าจะติดลบ 2.2% ซึ่งติดลบต่อเนื่องป็นปีที่ 3 และถือว่าประเมินไว้ต่ำสุดในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากผลกระทบเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวล่าช้า) เป็นต้น และประเทศที่ถูกปรับลด ได้แก่ สหรัฐ อังกฤษ แคนาดา และรัสเซีย ขณะที่ยังคงประมาณการจีนไว้ที่เดิม ดังแสดงในตาราง
อย่างไรก็ตามคาดว่าการปรับประมาณการของ IMF ครั้งนี้ ไม่น่าจะเซอร์ไพรส์ตลาดมากนัก เนื่องจากตลาดได้รับรู้มาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าน่าจะยังมีความเสี่ยงต่อการปรับประมาณการอีกในอนาคต หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจน โดยเฉพาะประเทศผู้นำ อย่างสหรัฐ และจีน และไทยเอง ซึ่งการประมาณการของ IMF ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประมาณการของนักเศรษฐศาสตร์โดยรวมที่ทยอยทำการปรับลด GDP มาอย่างต่อเนื่อง และเช่นเดียวกับทาง ASP ที่ยังคงอยู่ในช่วงปรับประมาณการและคาดว่า ในปี 2558 จะอยู่ที่ประมาณ 2.5% ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดได้ในเร็วๆนี้
เม็ดเงินต่างชาติเริ่มไหลออกจากกลุ่มประเทศ TIP
วันศุกร์ที่ผ่านมาก่อนตลาดหุ้นไทยปิดช่วงเทศกาลสงกรานต์ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาค 362 ล้านเหรียญฯ โดยเป็นการซื้อสลับขายรายประเทศ โดยตลาดหุ้นไทยนั้นนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเล็กน้อย 7.73 ล้านเหรียญฯ (251.45 ล้านบาท) ขณะที่ในรอบ 3 วันที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการติดต่อกันนั้น ตลาดหุ้นภูมิภาคเปิดทำการตามปกติ โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในวันจันทร์ที่ 13 และอังคารที่ 14 มูลค่า 319 และ 228 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ แต่ขายสุทธิวานนี้มากถึง 466 ล้านเหรียญฯ โดยขายสุทธิในไต้หวันสูงถึง 708 ล้านเหรียญฯ นับเป็นการสูงสุดในรอบกว่าปีของตลาดหุ้นไต้หวัน
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสเงินเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ติดต่อกัน โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในอินโดนีเซียติดต่อกัน 5 วันทำการ รวมมูลค่ากว่า 176 ล้านเหรียญฯ (หลังจากซื้อติดต่อกัน 6 วันทำการ รวม 218 ล้านเหรียญฯ) และขายสุทธิในฟิลิปปินส์ติดต่อกัน 5 วันทำการเช่นกัน รวมมูลค่ากว่า 77 ล้านเหรียญฯ (หลังจากซื้อสุทธิ 12 จาก 13 วันทำการหลังสุด รวม 217 ล้านเหรียญฯ) จากกระแสเงินไหลเข้าไปสู่ตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกมากขึ้น สะท้อนได้จากตลาดหุ้นฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ขึ้นทำ new high ทำให้มีความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นไทยอาจจะถูกขายออกมาด้วยเช่นกัน แต่เชื่อว่าเป็นมูลค่าที่ไม่สูงมาก เนื่องจากนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติยังมีสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 7.2 พันล้านบาท
ดัชนี HRCI ฟื้นแรงต่อเนื่อง สวนทางราคาน้ำมัน เป็นบวกต่อ RCL
ดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ HOWE ROBINSON INDEX (HRCI) ล่าสุดปรับขึ้นแรงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อนหน้าถึง 3.98% มาอยู่ที่ 714.1 จุด ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 15 นับเป็นจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องในรอบ 3 ปี 7 เดือน และหากพิจารณา ค่าเฉลี่ยดัชนี HRCI ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ที่ 604.9 จุด ยังเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยทั้งปี 2557 ที่ 527.5 จุด แล้วถึง 14.67% แสดงถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มเดินเรือคอนเทนเนอร์ ในขณะที่ ต้นทุนน้ำมันซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20% ของต้นทุนรวมของบริษัท ขณะที่ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 49.5% yoy (งวด 1Q58 ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันปรับลดลงกว่า 50% yoy) กอปรกับ RCL มีการซื้อสัญญาน้ำมันล่วงหน้าไว้เพียง 25% ของปริมาณขนส่ง จึงคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในงวด 1Q58 ต่อเนื่องไปถึงงวด 2Q58 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลสูงสุดของธุรกิจเดินเรือคอนเทนเนอร์ ทั้งนี้ หากเทียบราคาหุ้นเรือคอนเทนเนอร์ชั้นนำทั่วโลก กับ RCL พบว่า RCL มี Expected PBV ปี 2558 เกือบต่ำสุดที่ 0.8 เท่า ขณะที่ ROE ปี 58 อยู่ที่ 6.5% ระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯ RCL จึงจัดเป็นหุ้นที่ถูกมากในกลุ่มเดินเรือคอนเทนเนอร์ โดยมูลค่าพื้นฐานปี 2558 (อิง PBV ที่ 1.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PBV หุ้นเรือคอนเทนเนอร์ทั่วโลกที่ 1.41 เท่า) ได้ Fair Value ที่ 13.10 บาท มี Upside 36.5% แนะนำ "ซื้อ" RCL([email protected]) และเลือกเป็น Top Pick
นักวิเคราะห์: ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล