- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 April 2015 14:05
- Hits: 959
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET ยังมีลุ้นปรับตัวลงได้ ดังนั้นน่ารอซื้อช่วงลบเช่นเดิม
กลยุทธ์ : แม้ว่าเมื่อวานนี้ SET จะแกว่งตัวบวก-ลบแคบๆ ในลักษณะทรงตัวได้ดีขึ้นจากวันก่อนหน้า แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาดัชนีขยับขึ้นมาค่อนข้างเร็วและแรงพอควร ทำให้ยังมีสิทธิที่จะมีแรงขายกดดันให้ตลาดปรับพักตัวลงก่อนได้ เราจึงยังแนะนำให้รอซื้อช่วงลบดีกว่า แต่คาดว่าเป็นการพักตัวลงเพื่อขึ้นต่อ ดังนั้นส่วนของพอร์ตลงทุนจึงจะเน้นถือหุ้นต่อเนื่องเช่นเดิม
หุ้นเด่นทางเทคนิค : PM, BA, KCE(buy back)
แนวโน้ม : วานนี้ SET เริ่มทรงตัวได้บ้างจากการปรับตัวลงวันก่อน แต่ก็ยังค่อนข้างผันผวนและมีจังหวะย้อนลบ ดังนั้นแม้ว่าเช้านี้ตลาดหุ้นต่างประเทศจะยังมีจังหวะบวกอยู่ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของกรีซ หลังมีรายงานว่ากรีซสามารถชำระคืนเงินกู้ให้กับ IMF รวมทั้งขานรับข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีด้วย อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยจะติดช่วงวันหยุดยาวต้นสัปดาห์หน้าซึ่งตลาดหุ้นต่างประเทศจะเปิดทำการกันปกติ ทำให้ FSS คาดว่าจะมีแรงขายลดความเสี่ยงออกมากดดันให้ SET ยังมีโอกาสปรับตัวลงได้อีก นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้แม้ว่าจะเปิดเป็นบวก แต่หลายแห่งก็เริ่มย้อนลบให้เห็นบ้างในช่วงสาย ซึ่งน่าจะส่งผลให้กรอบการดีดขึ้นของ SET ช่วงนี้ยังมีจำกัด ดังนั้นในจังหวะตลาดบวกจึงไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคามากนัก เพราะตลาดยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่เราคาดว่าหลังจากการปรับพักตัวแล้ว SET ยังมีลุ้นแกว่งบวกต่อเนื่องได้ในช่วงครึ่งเดือนหลัง เราจึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นทยอยเข้าซื้อช่วงตลาดอ่อนตัวได้เช่นเดิม
แนวรับ 1542-1538 , 1535-1530 จุด
แนวต้าน 1548-1552 , 1555-1558 จุด
Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคในปริมาณที่เบาบาง โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ US$185.2 ล้าน และไทย US$8.8 ล้าน แต่ขายไต้หวัน US$39.9 ล้าน อินโดนีเซีย US$28 ล้าน และเวียดนาม US$1.9 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้ค่อนข้างนิ่ง Flow น่าจะเบาบางต่อ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) หลังสงกรานต์เป็นช่วงประกาศผลประกอบการ 1Q15 ตลาดมีการเก็งกำไรสลับ sell on fact กลุ่มแบงก์จะเริ่มประกาศงบฯเป็นกลุ่มแรกตั้งแต่ 17 เม.ย. โดย 1Q15 ไม่ใช่ไตรมาสที่ดีนักแต่ราคาหุ้นสะท้อนไปบางส่วนแล้ว ระยะสั้นแนะนำ TMB และ KBANK ที่คาดกำไรจะดีสุด ช่วงปลายเดือนเป็นกลุ่มพลังงานซึ่งกำไรที่เติบโต Q-Q เป็นเพราะไม่มี stock loss แต่น่าจะลดลง Y-Y ส่วนกลุ่มค้าปลีก เกษตร รับเหมา วัสดุก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย และมีเดีย มีกำไรไม่ดีนัก มีเพียงกลุ่มไฟแนนซ์ (MTLS, GL) และไอซีที (ADVANC, INTUCH, THCOM) ที่กำไรน่าจะออกมาดี
(-) ราคาถ่านหินทำ New low ร่วงลงถึง US$5.8 ต่อตันในสัปดาห์สิ้นสุด 9 เม.ย. เหลือเพียง US$54.6 ต่อตัน ต่ำสุดในรอบ 7 ปี ทั้งที่เดือน เม.ย. เป็น high season ของราคาถ่านหินเพราะเป็นช่วงเริ่มทำสัญญาซื้อขายรอบใหม่ของปีนี้ในญี่ปุ่น แนวโน้มราคาถ่านหินจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปเพราะอุปสงค์จากโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ฟื้น และคนยังหันมาใช้แก๊ส (พลังงานสะอาด) ซึ่งมีราคาค่อนข้างถูก แทนการใช้ถ่านหิน เราแนะนำขาย BANPU (ราคาเป้าหมาย 29.50 บาท) เพราะราคาเต็มมูลค่า และเร็วเกินไปที่จะเก็งกำไรข่าวที่ BANPU จะเอาบริษัทลูก (โรงไฟฟ้า) เข้าตลาดฯต้นปีหน้า
(+) จีนไม่แบนสายการบินจากไทย ยังคงให้ทำการบินเข้าออกได้ตามปกติ และให้โอกาสไทยดำเนินการแก้ไขตามขั้นตอน เป็นข่าวดีโดยเฉพาะกับ AAV ที่ราคาหุ้นปรับลงมามากสุดนับตั้งแต่มีข่าวนี้ ถือเป็นโอกาสในการซื้อ เพราะปัจจุบันซื้อขายที่ PE เพียง 15.9 เท่า ขณะที่กำไรสุทธิปีนี้พลิกฟื้น +720% Y-Y
(+) CPALL เราคาดกำไรสุทธิ 1Q15 ฟื้น +21% Q-Q, +12% Y-Y โดยคาดยอดขายสาขาเดิมพลิกเป็นบวก 1-2% Y-Y จากฐานต่ำปีก่อน แต่ยังต่ำกว่าปกติมากเพราะกำลังซื้อยังไม่ฟื้น เราเชื่อผลประกอบการจะค่อยๆดีขึ้นใน 2Q15 ซึ่งเป็นหน้าร้อน หนุนการขายเครื่องดื่มซึ่งมีอัตรากำไรดี และหวังว่ากำลังซื้อจะฟื้นในระยะถัดไป สำหรับประเด็นข่าวกลุ่ม CP สนใจซื้อ Tesco ประเทศไทยซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านบาท เรามองเป็นลบเพราะฐานะทางการเงินของ CPALL ยังไม่แข็งแรงพอ หลังจากซื้อ MAKRO 1.8 แสนล้านบาทเมื่อปี 2013 ด้วยธุรกิจปัจจุบันเราให้เป้าหมาย 54 บาท แนะนำซื้อลงทุน
(+) BEAUTY เป็นหุ้นที่ราคาขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่ง สอดคล้องกับกำไรที่สร้างสถิติใหม่ไม่หยุด แม้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ประชาชนระวังการใช้จ่าย แต่ด้วยการจัดโปรโมชั่นและคุมรายจ่าย ทำให้ยังคาดว่ากำไรจะโตเฉลี่ย 23% ต่อปีใน 3 ปีข้างหน้า และด้วยมูลค่าตลาดกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท มีโอกาสถูกนำเข้าคำนวณใน SET 100 รอบครึ่งปีหลัง แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นต่อเนื่องทำให้ปริมาณการซื้อขายเริ่มหายไปจากเฉลี่ย 1.5 ล้านหุ้น/วันในช่วง 2 เดือนแรกของปี เหลือ 6.7 แสนหุ้นต่อวันนับตั้งแต่ มี.ค.ถึงปัจจุบัน เราเชื่อว่าสภาพคล่องในการซื้อขายจะดีขึ้นหลังแตกพาร์จาก 1 บาทเป็น 0.10 บาท (ประชุมผู้ถือหุ้น 24 เม.ย.) เรายังแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 49 บาท
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หลังราคาน้ำมันดิบมีการรีบาวด์กลับขึ้นมาได้บ้าง อย่างไรก็ตามตลาดยังจับตาดูท่าทีของ FED ในการสื่อสารเรื่องเงื่อนเวลาของการปรับขึ้นดอกเบี้ย
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนบวกได้เช่นกันตอบรับตัวเลขเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงการฟื้นตัว รวมถึงข่าวเรื่องกรีซสามารถชำระหนี้แก่ IMF ได้
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวผสมโดยจับตาดูตัวเลขเงินเฟ้อจีนเช้านี้
ค่าเงินบาทยังแกว่งทรงตัวในกรอบ 32.49-32.60 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน พ.ค. ปิดที่ 50.79 เหรียญ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.37 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยมีแรงซื้อกลับเข้ามาหลังจากราคาร่วงแรงในวันก่อนหน้า รวมถึงความไม่แน่นอนระหว่างชาติมหาอำนาจกับอิหร่านว่าจะสามารถตกลงเรื่องโครงการนิวเคลียร์ได้หรือไม่
ราคาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ปิดที่ 1,193.60 ดอลาร์/ออนซ์ ร่วงลง 9.50 เหรียญ/ออนซ์ โดยนักลงทุนเริ่มกลับมาให้น้ำหนักในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคตอีกครั้งแม้ตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลังจะเริ่มแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่อ่อนลง