- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 April 2015 16:35
- Hits: 1574
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
ทดสอบพื้นที่ 1540-1550
Top Picks-Fund Jan-12 : Fundamental : BTS, INTUCH, KBANK, RATCH, TRUEIF Dark Horse: GL, SYNTEC
Top Picks -Fund Today: SEAFCO
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, MK, SPALI, AP, MODERN, TCAP, TISCO, TMT, BTSGIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : ROBINS 41%, STA 41%, GLOW 22%, IRPC 16%, AOT 15%, STEC 12%, DELTA 12%
Technical View ภาพรวมเป็นบวกที่พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ เน้นซื้อตามค่าบวก
Support Resistance Stop loss
SET 1480,1460 1540-1550 หลุด 1515
SET50 980-970 1020-1030 หลุด 1005
Top Picks-Tech Today : GL, SEAFCO, WHA, UNIQ, TIPCO, BLA, CENTEL, THREL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนมีรายงานตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.58 ของสหรัฐ รวมถึงเป็นวันหยุดยาวของไทยด้วย ปิดตลาด SET Index ปรับขึ้น 3.82 จุดที่ 1536.05 จุด มูลค่าซื้อขายไม่ถึง 3 หมื่นล้านบาท เราประเมินว่าตลาดไทยเดือนเม.ย.จะซบเซาเนื่องจากวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์และการขึ้นเครื่องหมาย XD ของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ซึ่งจากการศึกษาผลกระทบทั้งจากการจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดและหุ้นปันผลที่ตีมูลค่าตามราคาตลาดพบว่าจะกระทบกับดัชนีราว 16 จุดเมื่อปัจจัยอื่นคงที่ นอกจากนั้นการทำ Preview ผลประกอบการ 1Q58 ในช่วงครึ่งหลังเม.ย.และช่วงต้นพ.ค.อาจนำมาซึ่งการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 58 ของนักวิเคราะห์เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้ากว่าคาด ส่วนปัจจัยภายนอก ก็มีประเด็นเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่แรงกดดันผ่อนคลายลงในระยะสั้นมากหลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.แย่กว่าคาด อย่างไรก็ดีประเด็นนี้จะเข้ามากดดันเป็นระยะๆ ซึ่งเป็นไปตามการบริหารข้อมูลและนโยบายของเฟดที่ต้องการให้ตลาดค่อยๆรับรู้และปรับตัว และเมื่อปรับขึ้นจริงจะได้ส่งผลกระทบไม่มาก (คล้ายกับตอนยุติโครงการ QE ก็ทยอยผ่านข่าวให้เกิดการคาดการณ์ล่วงหน้าก่อนกว่า 6 เดือน) รวมถึงปัญหาการเมืองของประเทศที่ผลิตน้ำมันดิบ
กลยุทธ์ : เลือกซื้อลงทุน โดยเดือนเม.ย.แนะนำให้เน้นไปยังหุ้น Defensive หุ้น Top Picks เป็น BTS, INTUCH, KBANK, RATCH, TRUEIF และ Dark Horse คือ GL, SYNTEC
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ตลาดมีโอกาสปรับขึ้นตามตลาดต่างประเทศก่อน โดยกลุ่มพลังงานได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้น และกลุ่มรับเหมา & วัสดุก่อสร้างได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนภาครัฐที่คืบหน้าดีขึ้น รวมทั้งกระแสคาดการณ์ว่าดอกเบี้ยสหรัฐจะยังไม่ปรับขึ้นเร็วช่วยหนุน Sentiment
สำหรับ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ภาพตลาดเป็นบวก แต่ก็พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ การซื้อใหม่เน้นตามค่าบวก SET มีแนวต้านระยะสั้น 1540-1550 การอ่อนตัวต่ำกว่าแนวฟิวเตอร์ 1515 ดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตาม สำหรับหุ้นมีสัญญาณบวกทางเทคนิคและมีโอกาสทำ New High ที่ยังอยู่ใน List คือ BEAUTY, MALEE, MAJOR, ADVANC, IVL, DCC, TOP ส่วนหุ้นเข้ามาใหม่ เป็น WHA, MAX, TIPCO และหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit คือ CENTEL
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
-/+สหรัฐ : การจ้างงานเพิ่มน้อยกว่าคาด แต่ทำให้ความวิตกเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยอ่อนคลายลง ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 126,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.56 จากระดับ 264,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ.58 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 248,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 5.5% ในเดือนมี.ค. แต่การจ้างงานที่น้อยกว่าคาด ก็ทำให้ความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดผ่อนคลายลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีร่วงลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
+ กรีซ : ผู้อำนวยการ IMF กล่าวว่ากรีซยืนยันจะชำระคืนหนี้สินแก่ IMF ที่จะครบกำหนดในวันที่ 9 เม.ย.นี้ เป็นจำนวน 450 ล้านยูโร ทั้งนี้กรีซยังไม่ได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมจากประเทศเจ้าหนี้นับตั้งแต่เดือนส.ค.57 ทำให้รัฐบาลต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากหน่วยงานของรัฐภายในประเทศโดยการออกพันธบัตร ขณะที่ยูโรโซนและ IMF ระงับการปล่อยกู้จนกว่ารัฐบาลกรีซจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจกับประเทศเจ้าหนี้
กรีซ : เมื่อ 1 เม.ย.58 ECB ได้ปรับเพิ่มเพดานเงินกู้ฉุกเฉินสำหรับธนาคารกลางกรีซเป็น 7.18 หมื่นล้านยูโร (7.73 หมื่นล้านดอลลาร์) จาก 7.11 หมื่นล้านยูโร ในสัปดาห์ก่อน โดยภายใต้โครงการกองทุนช่วยเหลือสภาพคล่องฉุกเฉิน (ELA) ธนาคารกลางกรีซจะนำเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินในประเทศในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่ามาตรฐานของ ECB โดยที่กรีซจะรับความเสี่ยงเอง
+ จีน : ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนมี.ค.ที่เพิ่มขึ้นแตะ 52.3 จาก 52.0 ในเดือนก.พ. แต่ภาคผลิตของจีนยังค่อนข้างชะลอตามอุปสงค์ที่อ่อนแอ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นรับกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว โดยดัชนี DJIA บวกขึ้น 117.61 จุด หรือ +0.66% ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 30.38 จุด หรือ +0.62% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 13.66 จุด หรือ +0.66% ปัจจัยหนุน คือ การจ้างงานนอกภาคเกษตรมี.ค.ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดทำให้ตลาดประเมินว่าเฟดจะไม่เร่งรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว โดยน่าจะเป็นช่วงเดือนก.ย.58 หรือไตรมาส 4/58 นอกจากนั้นยังมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นด้วย
+ สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้น โดย WTI ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 3 ดอลลาร์ ปิดที่ 52.14 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เพิ่มขึ้น 3.17 ดอลลาร์ ปิดที่ 58.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยหนุน คือ บริษัทซาอุดิ อารามโก ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ได้ปรับขึ้นราคาน้ำมันประจำเดือนพ.ค.58 สำหรับลูกค้าในเอเชียอีก 30 เซนต์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 การปรับขึ้นราคาบ่งชี้ว่าอุปสงค์ในเอเชียเพิ่มขึ้น และช่วยลดแรงกดดันหากอิหร่านจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันหลังชาติตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรตามที่มีการคาดการณ์กันไว้
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบมิ.ย.พุ่งขึ้น 17.7 ดอลลาร์ หรือ หรือ +1.47% ปิดที่ 1,218.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ทั้งนี้ตัวเลขภาคแรงงานที่ดีน้อยกว่าคาดทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนลง ซึ่งเป็นผลดีกับราคาทองคำในระยะสั้น
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+/ กลุ่มพลังงาน : ได้รับผลดีจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น ซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทน้ำมันรัฐบาลซาอุดิอาระเบียปรับขึ้นราคาขายน้ำมันในภูมิภาคเอเชียต่อเป็นเดือนที่ 2 แต่ราคาน้ำมันดิบอาจปรับขึ้นอย่างจำกัด เพราะอุปสงค์ในตลาดโลกยังไม่แข็งแกร่งมาก ขณะเดียวกันการผลิตและสต็อกน้ำมันสหรัฐยังคงสูงมาก และถ้าอิหร่านผลิตน้ำมันดิบสู่ตลาดโลกอีก 1 ล้านบาร์เรล/วันจะทำให้มีปริมาณน้ำมันดิบส่วนเกินเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2 ล้านบาร์เรล/วัน กลยุทธ์การลงทุน จึงเน้นเก็งกำไรตามรอบเป็นหลัก สำหรับ PTT เน้นซื้อเหนือ 326 โดยมีแนวต้าน 335-340, 350 บาท, ด้าน TOP ซื้อค่าบวก แนวต้าน 55-56, 58 บาท ต่ำกว่า 52 บาท Stop Loss, ส่วน IRPC ซื้อค่าบวก แนวต้าน 4.60, 4.80-5.0 บาท ต่ำกว่า 4.30 บาท Stop Loss สำหรับ PTTEP ให้ซื้อตามค่าบวกเช่นกัน โดยมีแนวต้าน 117, 120-125 บาท ต่ำกว่า 110 Stop Loss ทั้งนี้ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน เราชอบหุ้นโรงกลั่นมากกว่าสำรวจ & ผลิต เพราะคาดว่าผลประกอบการในปี 58 จะฟื้นตัวได้ดีกว่า อันเนื่องจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นเพราะ Fuel Loss & Crude Premium ต่ำลง และไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกจำนวนมากเหมือนปีก่อน หุ้น Top Pick เป็น TOP (ให้ราคาพื้นฐานปี 58 เท่ากับ 69 บาท)
+ ITD : ได้งานโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่สัญญา 1 มูลค่ากว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่างานในมือเพิ่มเป็น 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในช่วงปี 58-60
ความเห็น Retail Research : นับว่ารายได้ ITD มีความมั่นคงสูง นอกจากนั้นบริษัทยังจะเข้าประมูลงานใหม่อีก ซึ่งมีโอกาสจะได้รับงานเพิ่มอีก นักวิเคราะห์ใน Consensus ประเมินว่า EPS ปี 58 จะเติบโตเพิ่มเป็น 0.15 บาท/หุ้น (+36% จากปี 56 ที่ 0.11 บาท/หุ้น) และขยายตัวต่อ 27% เป็น 0.19 บาท/หุ้น ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำซื้อเก็งกำไร โดยราคาเป้าหมายที่เป็น Median อยู่ที่ 9 บาท มี Upside จากราคาปิด 14% ทั้งนี้เรามองว่าปัจจัยพื้นฐานและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ ITD จะค่อยๆ ดีขึ้น และโครงการทวายจะช่วยหนุนการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ดี Valuation ของหุ้น ITD สูงมากเมื่อเทียบกับผู้รับเหมาขนาดใหญ่ด้วยกันอย่าง CK และ STEC โดย ITD มี P/E ปี 58 เท่ากับ 53 เท่า ขณะของ CK และ STEC อยู่ที่ 25 เท่า และ 22 เท่า ตามลำดับ ด้าน Dividend Yield ของ ITD คาดการณ์ไว้ที่ 0.8% ส่วน CK และ STEC อยู่ที่ 2%
+ โครงการลงทุนภาครัฐเริ่มเดินหน้าดีขึ้น (ล่าสุดเซ็นสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ บจ.ที่ได้งานคือ ITD, STEC, UNIQ) นับเป็นข่าวบวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, ฐานราก และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าเม็ดเงินจากการลงทุนภาครัฐจะเข้าสู่ระบบมากขึ้นในช่วง 2H58 เป็นต้นไป
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]