WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
        SET แกว่งตัวตามกระแสข่าวรายหุ้น ยังเลือก TRUE([email protected] ก่อน XR แต่เหลือ B9 หลัง XR) เป็น Top pick เพราะมีความพร้อมในการประมูล 4G หลังได้ China Mobile เป็นพันธมิตร และ แนะนำเก็งกำไร BJCHI เป็นหุ้น 1 ในหุ้นที่ติด SET100 ซึ่งจะเริ่มเข้าคำนวณช่วง ก.ค.- ธ.ค. 2557

ตลาดคาดจีนต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม เงินเฟ้อยังต่ำกว่าเป้าหมาย
     ความกังวลต่อเศรษฐกิจจีนจะไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย (7.5% vs บลูมเบิร์กคาดไว้ที่ 7.3% ต่ำกว่าปี 2556 7.7%) แม้ล่าสุด อัตราเงินเฟ้อเดือน พ.ค. จะเพิ่มขึ้น 2.5%yoy สูงกว่าที่คาด 2.4% เล็กน้อย (สูงสุดในรอบ 4 เดือน) แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3.5% แม้อาจจะทำให้ธนาคารกลางจีน ต้องยืนดอกเบี้ยนโยบายที่เดิมต่อไป แต่เป็นไปได้ที่จะมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเกษตร อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม หลังจากที่ได้ตัดลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (RRR) ให้กับ ธ.พ. แล้วเป็นส่วนใหญ่ (รายละเอียดใน Market Talk วานนี้ )
      ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์โลกหลายรายประเมินว่าภายในเดือน มิ.ย. นี้ ธนาคารกลางจีน จำเป็นจะต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 5-7 หมื่นล้านหยวน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเมือง และจำนวน 5.45 แสนล้านหยวน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในชนบท ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มปริมาณเงินในระบบของจีนโดยตรง น่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้น รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซีย

 

World Bank ปรับลด GDP ลงมาต่ำกว่า IMF เล็กน้อย
      ธนาคารโลก (World Bank) ได้ปรับลดมุมมองการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก เนื่องจากมีความกังวลต่อการกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐ จากพายุฤดูหนาวเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมา ตามมาด้วยความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างยูเครนและรัสเซีย และความไม่สมดุลของเศรษฐกิจในจีน โดยคาดว่า GDP Growth ในปี 2557 จะขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า เมื่อเดือน ม.ค. 2557 แต่ต่ำกว่า IMF คาด 3% เล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการปรับลดลงของประเทศกำลังพัฒนาราว 0.5% เหลือ 4.8% ซึ่งเรียงลำดับจากปรับลดลงมากไปน้อยกล่าวคือ
1) กลุ่มประเทศเอเชียกลาง ลดลงราว 1.1% จากประมาณการครั้งก่อน นำโดยเฉพาะตุรกี ลดลง 1.1% (เนื่องจากมีอัตราเงินเฟ้อ และขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง)
2) กลุ่มประเทศละตินอเมริกา ลดลง 1% (นำโดย อาร์เจนตินาลดลง 2.8% เม็กซิโกลดลง 1.1% และบราซิลลดลง 0.9%)
3) กลุ่มตะวันออกกลาง ลดลง 0.9%
4) แถบเอเซีย โดยเป็นการปรับลด ไทยมากสุดราว 2% เหลือ 2.5% และ อินเดีย ลดลง 0.7% เหลือ 5.5% ส่วนจีน ปรับลดเล็กน้อย 0.1% เหลือ 7.6%
ส่วนประเทศพัฒนามีการปรับลดบางประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐ โดยลดลง 0.7% เหลือ 2.1% และญี่ปุ่น ปรับลด 0.1% เหลือ 1.3% โดยยังคงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรปไว้ที่ 1.1%
ทั้งนี้ World Bank ยังคงประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2558 ไว้ที่ระดับเดิม 3.4% (ต่ำกว่า IMF คาดเล็กน้อยที่ 3.6%)
โดยสรุปการปรับลดครั้งนี้อาจไม่ได้สร้างความประหลาดใจมากนัก เพราะถือว่าเป็นระดับที่ต่ำกว่า IMF คาดการณ์ไว้เล็กน้อย และ ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกน่าจะอยู่ในภาวะฟื้นตัว แม้ในบางพื้นที่จะยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะในฝั่งสหภาพยุโรป จีน รวมถึง ญี่ปุ่น เป็นต้น

 

ต่างชาติขายไทยอีกครั้ง แต่กลับมาซื้อเอเซียรายประเทศเพิ่มขึ้น
         วานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 ราว 581 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวจากวันก่อนหน้าโดยซื้อสุทธิสูงสุด ยังคงเป็นไต้หวัน ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4 ราว 323 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากวันก่อนหน้า ตามมาด้วย เกาหลีใต้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 19 ราว 235 ล้านเหรียญฯ (จากยอดซื้อ 27 ล้านเหรียญฯในวันก่อนหน้า) ตามมาด้วยฟิลิปปินส์ซื้อติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ราว 25 ล้านเหรียญฯ ใกล้เคียงกับ อินโดนีเซียที่สลับมาซื้อสุทธิราว 23 ล้านเหรียญฯ ยกเว้นไทยที่พลิกมาขายสุทธิราว 25 ล้านเหรียญฯ (814 ล้านบาท)


      แม้ต่างชาติจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้นในภูมิภาคอย่างหนักอีกครั้ง แต่ยังคงเป็นการเลือกซื้อรายประเทศคือ ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ แต่ยังคงเลือกซื้อสลับขายเบาบางในกลุ่มประเทศ TIP ส่วนประเทศไทย แม้ต่างชาติจะสลับขายออกมาหลังจากที่ซื้อต่อเนื่องถึง 6 วัน รวม 8.2 พันล้านบาท แต่เชื่อว่า การเทขายอย่างหนักได้ผ่านพ้นไปแล้ว และในระยะสั้นน่าจะเป็นการซื้อสลับขายตามภูมิภาค อาจจะมีแรงขายจากพอร์ตโบรกเกอร์ที่ซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 9 วัน รวม 4.3 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิ 16 จาก 18 วันหลังสุด) ซึ่งในระยะหลังนักลงทุนกลุ่มนี้มักจะซื้อสุทธิติดต่อกันไม่เกิน 4-5 วันก่อนที่จะขายสุทธิออกมา

 

เก็งกำไรหุ้นเข้า SET50-SET100 : KKP และ BJCHI เป็น Top Picks
      คาดว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะประกาศรายชื่อหุ้นที่เข้าคำนวณ SET50 และ SET100 งวด 2H57 (1 ก.ค. – 31 ธ.ค. 2557) ปลายเดือน มิ.ย. นี้ ทั้งนี้ฝ่ายวิจัย ASP ได้ทำการคาดการณ์หุ้นที่เข้า-ออกใน SET50 และ SET100 มีรายชื่อดังนี้ (ติดตามรายละเอียดได้ในรายงาน Quantitative Analysis วันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา)
      SET50 : หุ้นที่เข้าคำนวณ มี 2 หุ้น คือ M และ KKP ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออก คือ CK และ THAI
SET100 : หุ้นที่เข้าคำนวณ มี 10 หุ้น คือ M, BJCHI, NYT, PSL, MEGA, EARTH, MC, NOK, THREL และ UMI ส่วนหุ้นที่ถูกคัดออก คือ TASCO, SSI, THRE, DCC, SF, CHG, SC, JMART, MBK และ N-PARK
      ทั้งนี้ หุ้นหลายตัวที่เข้าคำนวณนั้นมีราคาปรับขึ้นสูงจนมี upside จำกัด เช่น M จึงไม่แนะนำลงทุนเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อลงทุน KKP และเก็งกำไร BJCHI โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ทยอยซื้อก่อนเข้าคำนวณจริงราว 3-4 สัปดาห์ จากการศึกษาเชิงปริมาณ 10 ปีย้อนหลัง พบว่า หุ้นที่จะเข้าคำนวณ SET50 ถ้าซื้อในช่วงเวลาดังกล่าวจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 6.5 – 7.5% ด้วยความน่าจะเป็น 80% ขณะที่ SET100 ให้ผลตอบแทนราว 2.5 - 3.0% ด้วยความน่าจะเป็น 60 - 70%
     KKP ([email protected]) : เริ่มเห็นสัญญาณบวกชัดเจนมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจตลาดทุน ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจหลักทรัพย์ IB และการบริหารสินทรัพย์ ได้แก่ เงินลงทุน รวมถึงสินเชื่อรายย่อย ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันถึง 78% และช่วยเพิ่ม upside ของประมาณการการเติบโตของกำไรสุทธิปี 2557 ของ KKP ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้พร้อมทั้งปรับ fair value ขึ้นจากเป็น 52.20 บาท จากเดิม 42 บาท (เพิ่มขึ้น 24.3%) และปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ


     BJCHI ([email protected]) จุดเด่นที่มีสถานะเป็น net cash สภาพคล่องสูง เงินสดในมือสูงมาก (งวด 1Q57 ราว 1.7 พันล้านบาท) เนื่องจากได้เงินล่วงหน้าจากเจ้าของโครงการก่อน 10% ของมูลค่าโครงการ ทำให้มีสามารถซื้อเครื่องจักรลงทุนขยายกำลังการผลิตได้ง่าย รวมทั้งกำลังจัดหาท่าเรือน้ำลึกเป็นของตนเองเพื่อเป็นโรงประกอบโครงสร้างเหล็กจากเดิมที่ต้องเช่า ส่วนผลประกอบการนั้น ตั้งแต่ต้นปีได้งานใหม่ 3.6 พันล้านบาท และคาดว่าจะได้อีก 1.4 พันล้านบาทในปีนี้ ยอด Backlog ปัจจุบัน 4.4 พันล้านบาท รับรู้ปีนี้ 3.3 พันล้านบาท ส่งผลให้ปีนี้คาดรายได้จะอยู่ที่ 4.1 พันล้านบาท (ดีกว่าปีก่อนที่ 3.9 พันล้านบาท) แต่จุดอ่อนคือเป็นงานรับช่วงต่อซึ่งมี Margin น้อยเพียง 25% คาดกำไรปีนี้อยู่ที่ 1 พันล้านบาท ลดลง 13%yoy แต่มี PER 12 เท่า ต่ำกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกันอย่าง STPI และมี Dividend Yield 5.2%


ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
พบชัย ภัทราวิชญ์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!