- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 17 March 2015 16:19
- Hits: 1049
บล.เคเคเทรด : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET ยังมองหาแนวรับ
SET View
รายงานวันนี้
Update : RATCH (ซื้อ / มูลค่าเหมาะสม 68 บาท) ปี 58 กำไรเติบโตเด่นกว่ากลุ่ม
แนวโน้มวันนี้เป็นลบ มองกรอบเคลื่อนไหว 1500 – 1520 จุด
SET มีโอกาสปรับตัวลงต่อ หลังทางเทคนิคไม่ผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 1540 จุด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานจะคงกดดัน SET หลังราคาน้ำมันดิบ Brent ยังทรงตัวในทิศทางขาลงจากความวิตกต่ออุปทานส่วนเกินฝั่งสหรัฐ ขณะเดียวกันคาดว่านักลงทุนบางส่วนจะชะลอการลงทุนหรือขายทำกำไรเพื่อปิดความเสี่ยง รอผลการประชุม FOMC คืนวันพุธนี้ต่อท่าทีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ภาพรวม SET ณ ระดับปัจจุบันที่ 21x Trailing P/E ระดับแพงสุดในรอบ 5 ปี รวมถึงมีโอกาสปรับลดประมาณกำไรลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ไม่สนับสนุนการเพิ่มพอร์ตของนักลงทุนระยะกลาง ขณะที่เม็ดเงินจาก QE ฝั่งยุโรปที่จะเข้ามาในภูมิภาคจะคงไม่ชัดเจนจนกว่าผลการประชุม FOMC จะผ่านพ้น ทางเทคนิค SET ปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันบริเวณ 1540 จุด เป็นสัญญาณลบมีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับถัดไปบริเวณ 1480 จุด (gap ล่าง) โดยอาจมีการรีบาวน์ช่วงสั้นแถว 1500 จุด ทางสติติช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา SET ปรับต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันเพียง 2 ครั้ง และใช้เวลาเพียง 3 วันทำการถึงกลับมาปิดเหนือได้ จึงน่าคาดหมายการรีบาวน์เกิดขึ้นใน 1-2 วันนี้
กลยุทธ์การลงทุน ระยะ 1-2 วัน หาก SET เปิดต่ำแถว 1500 จุดควรเป็นจังหวะซื้อ หรือเสี่ยงซื้อหากเกิด Panic Selling จน SET หลุด 1500 จุดระหว่างวันเพื่อไปรอขายช่วงรีบาวน์
Top Daily Pick: ADVANC (ผลประกอบการจะกลับมาเติบโตโดดเด่นกว่า 23% ในปีนี้ และอัตราผลตอบแทนปันผลจูงใจกว่า 6% จะจำกัด downside) /MFEC (มีโอกาสเติบโตจากนโยบาย Digital Economy ภาครัฐ และให้อัตราผลตอบแทนปันผล 6% ขึ้น XD ปลายเม.ย.จะจำกัด downside)
Technical Pick : VGI NINE PREB MALEE NMG-W3
Strategy Talk
SET จบรอบขาขึ้นไปแล้วยัง?
•การปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงตลาดหุ้นไทย ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดจากความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมิ.ย. เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้แต่เดิม (ที่คาดจะเป็นเดือนก.ย. หรืออาจไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเลยในปีนี้) ความวิตกดังกล่าวเกิดขึ้นหลังสหรัฐประกาศตัวเลขการว่างงานเดือนก.พ.ที่ระดับ 5.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 7 ปี ทำให้นักลงทุนตีความว่าเฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายโดยเร็วตามนโยบายที่แถลงไว้ใน Forward Guidance
•สำหรับตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบเชิงลบมากกว่าตลาดภูมิภาค เชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดจากประสบการณ์ในอดีตของนักลงทุน ที่มาจากการพิจารณาทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET เทียบกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในครั้งก่อนหน้าเมื่อเดือนมิ.ย.ปี 47 พบว่า SET จะทำจุดสูงสุดก่อนการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดราว 6 เดือน และใช้ระยะเวลาปรับฐานราว 8 เดือนไปทำจุดต่ำสุด 2 เดือนหลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย คิดเป็นอัตราการลดลงราว 19% นี่น่าจะเป็นความวิตกต่อนักลงทุนไทยเช่นเดียวกัน เพราะหากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเกิดขึ้นจริงในเดือนมิ.ย. และทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET เกิดขึ้นซ้ำรอยกับปี 47 น่าคาดหมายได้ว่า SET ได้ทำจุดสูงสุดไปแล้วเมื่อเดือนก.พ.ที่บริเวณ 1619 จุด และอาจปรับฐานลงมาได้ถึงระดับ 1311 จุดในเดือนก.ย.-ต.ค.
•ในเชิงกลยุทธ์เรามองว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินว่า SET จบรอบไปแล้วที่ระดับ 1619 จุด และพฤติกรรมการเคลื่อนไหวก็อาจแตกต่างไปจากช่วงปี 47 เนื่องจาก (1) ยังไม่มีความชัดเจนว่าเฟดจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในเดือนมิ.ย.นี้ หากอิงกับอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือนม.ค.ที่ -0.1% เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีและต่ำกว่าระดับเป้าหมายของเฟดที่ +2% บ่งบอกว่าการฟื้นตัวของภาคแรงงานสหรัฐยังไม่ส่งผลกระทบต่อระดับราคาแต่อย่างไร นอกจากนี้ถ้อยแถลงของประธานเฟดนางเยลเลนในสภาคองเกรสช่วงปลายเดือนก.พ.ที่ผ่านมา บ่งบอกเป็นนัยว่าไม่รีบร้อนปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน (เราเชื่อว่าเฟดอาจต้องรอให้เห็นสัญญาณการเร่งตัวของเงินเฟ้อก่อนที่จะพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย) เราเชื่อว่าตลาดจะได้รับความชัดเจนอีกครั้งจากการประชุม FOMC ครั้งต่อไปวันที่ 17-18 มี.ค.นี้ (2) เดือนมี.ค.เป็นเดือนแรกธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีการทำ QE ด้วยการซื้อสินทรัพย์ในตลาดตราสารหนี้ยุโรป รวมถึงการทำ QQE อย่างต่อเนื่องของฝั่งญี่ปุ่น เราจึงคาดหมายเม็ดเงินที่เกิดจากสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดการเงินของทั้งสองจะไหลเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป (3) การปรับขึ้นของ SET นับตั้งแต่ต้นปี 56 จากระดับ 1300 จุดเป็นต้นมาเป็นผลจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนไทย (สถาบันและรายย่อย) กว่า 2 แสนล้านบาท และยังไม่มีสินทรัพย์เสี่ยงอื่นเป็นตัวเลือกทดแทน ล่าสุดอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้รัฐบาลไทยอายุ 2 ปี ปรับลงมาเพียง 1.92% แพงสุดในรอบ 4 ปี จะทำให้ SET น่าสนใจมากขึ้นโดยเปรียบเทียบ
สรุปเรายังมองประเด็นการทำ QE ของยุโรปและญี่ปุ่น เป็นปัจจัยผลักดันเม็ดเงินเข้ามา ช่วยให้ SET ปรับขึ้นไปทดสอบระดับ 1600 จุดได้อีกครั้งในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า และการปรับลดลงของ SET (ทางเทคนิคมีแนวรับบริเวณ 1480 +/-) ยังเป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นกลุ่มนำตลาดทั้งพลังงาน ธนาคารและสื่อสารขนาดใหญ่เพื่อไปรอขายช่วงรีบาวน์
Smart Port Note
Beta ของพอร์ตลงทุนแสดงถึงความเสี่ยงของหุ้นในพอร์ตเทียบกับ ตลาด SET หากค่า Beta สูงกว่าหนึ่งเท่า แสดงถึงความเสี่ยงของ พอร์ตลงทุนที่สูงกว่า SET
Growth Port มีค่า Beta เท่ากับ 1.21
Trading Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.75
Dividend Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.85
Quant Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.42
หุ้นใน Smart Port ที่จะจ่ายปันผลได้แก่
26/03/2015 ADVANC 5.96 Baht per share
09/04/2015 MAJOR 0.55 Baht per share
09/04/2015 TCAP 1.00 Baht per share
17/04/2015 BBL 4.50 Baht per share
17/04/2015 BIGC 2.62 Baht per share
27/04/2015 EFORL 0.01 Baht per share
29/04/2015 SRICHA 1.55 Baht per share
30/04/2015 M 1.00 Baht per share
30/04/2015 MODERN 0.30 Baht per share
30/04/2015 IVL 0.19 Baht per share
07/05/2015 ICHI 0.50 Baht per share
07/05/2015 KAMART 0.06 Baht per share
08/05/2015 NBC 0.02 Baht per share
Theme Play: กลุ่มสายการบิน (AAV) ได้ประโยชน์จากปัจจัยฤดูกาลและต้นทุนเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับตัวลง /เครือข่ายร้านอาหาร-ความงาม (BEAUTY KAMART) ปี 58 จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากการขยายสาขาและกำลังซื้อฟื้นตัว /กลุ่มธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) และพัฒนาที่อยู่อาศัย (AP SPALI) จิตวิทยาเชิงบวกจากการปรับลดดอกเบี้ยของกนง. /กลุ่มสื่อสาร (ADVANC INTUCH) ผลประกอบการฟื้นตัวต่อเนื่องปี 58 ปันผลจูงใจราว 5-6% ต่อปี /หุ้นแนะนำเดือนมี.ค. (AP BANPU ICHI SNC THCOM)