WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

“ซื้อค่าบวก...ไม่ผ่าน 1570 ขายก่อน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : RML (ปรับจากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ โดยปิด +12.80 จุดมาที่ 1543.84 จุด ตอบรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง.0.25% ซึ่งฉุดค่าเงินบาทให้อ่อนลงและเป็น Sentiment ทางบวกกับตลาดรวม อย่างไรก็ตาม ผลบวกที่แท้จริงอาจยังไม่เห็นเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังซบเซา และกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าของไทยยังไม่ดีนัก นักลงทุนรายย่อยนำซื้อสุทธิ 2.4 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิแต่ไม่มากที่300 กว่าล้านบาท ส่วนพอร์ตบล.และต่างชาติขายสุทธิ โดยต่างชาติเป็นกลุ่มนำขายสุทธิที่ 1.85 พันล้านบาทในช่วงสั้นนี้ ประเด็นภายนอกที่ตลาดกังวล คือ เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด (ซึ่งต้องติดตามผลประชุมเฟดสัปดาห์หน้าว่าจะยกเลิกคำว่า“อดทน” ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่) รวมถึงสถานการณ์การเงินของกรีซ ซึ่งเราคาดว่าในที่สุดกรีซจะได้รับความช่วยเหลือจากทรอยก้ารอบใหม่และไม่ออกจากยูโรโซน แต่ในช่วงของการเจรจาก็จะฉุด Sentiment การลงทุนเป็นระยะ ส่วนปัจจัยภายในเป็นเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้า แม้ว่ากนง.จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงและธ.พ.บางแห่งประกาศลดอัตราดอกเบี้ยตามแต่อุปสงค์ที่ซบเซาอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจริงได้ไม่มากสำหรับตลาดหุ้น ระยะสั้นมากตอบรับในทางบวกและสะท้อนเข้ามาในตลาดพอควรแล้วเมื่อวานนี้ แต่ยังไม่ได้ดีมากนัก จึงยังต้องระวังการแกว่งหรืออ่อนตัวอยู่ต่อไป กลยุทธ์ ซื้อ/ถือตามค่าบวก SET ไม่ผ่านและยืนเหนือ 1570 ควรขายออกไปก่อน หุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น KTCการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกเล็กๆ แนวต้านระยะสั้นมาก 1550, 1560-1570 จุด แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด 1530 เน้นซื้อตามด้วยค่าบวกเป็นหลัก ค่าลบดูไม่ดี หลุดฟิวเตอร์ควรลดพอร์ตตามหรือ Stop Lossสำหรับการ SCAN หาหุ้นมีสัญญาณบวกทางเทคนิคและมีโอกาสทำ New high พบว่าหุ้นที่เข้ามาใน List เป็น TCC, NMG, EPG, IFS ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้ว และอยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit คือ GL, FANCY, SIAM

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• ECB ประเมินว่ากรีซจะได้รับผลลบมากกว่าบวกจากการออกจากยูโรโซน โดยอุตสาหกรรมต่างๆจะได้รับผลกระทบมาก และรายได้ประเทศจะหายไปจำนวนมาก อาจมีเฉพาะภาคท่องเที่ยวที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินของตนเองที่อ่อนลง … เราเชื่อว่ากรีซจะไม่ออกจากยูโรโซน แม้ว่าการเจรจาต่อรองระหว่างกรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้ทรอยก้า (EU, ECB, IMF) จะมีความเข้มข้นมากและอาจกดดัน Sentiment การลงทุนในระยะนี้ แต่เชื่อว่าในที่สุดจะสามารถตกลงกันได้ ทั้งนี้รัฐบาลใหม่กรีซเองก็ต้องคำนึงเม็ดเงินที่จะต้องใช้บริหารประเทศ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกก็มีความเสี่ยงว่าจะไปไม่ไหวเหมือนกัน

+ Bond Yield 10 ปีของประเทศในยูโรโซนร่วงลงและหลายประเทศอยู่ในระดับ All-time Low สำหรับของเยอรมนีได้ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.199% หลัง ECB เข้าซื้อพันธบัตรตามโครงการ QE มาตั้งแต่ 9 มี.ค.58 ซึ่งทาง ECB กล่าวว่าการอ่อนลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะช่วยปกป้องประเทศที่อ่อนแอมากๆ เช่น โปรตุเกส, กรีซ เป็นต้น

- นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐกังวลว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด & ภาคส่งออกและการลงทุนจะถูกกระทบจากเงิน US$แข็งค่า ยังผลให้ตลาดหุ้นแกว่งและปิดอ่อนลงเล็กน้อย โดยดัชนี DJIAลดลง 27.55 จุด หรือ -0.16% ดัชนี NASDAQ ลดลง 9.85 จุด หรือ -0.20% ดัชนี S&P500 ลดลง 3.92 จุด หรือ -0.19% ทั้งนี้ผลสำรวจ CFOทั่วโลกของ Duke University/CFO Magazine Global Business Outlookระบุว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่มองว่าการแข็งค่าของ US$ จะกระทบต่อผู้ส่งออกของสหรัฐ และอาจฉุดรั้งการลงทุนของบริษัทในปี 59 ด้วย

• ในการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า จับตาว่าเฟดจะยกเลิกการใช้คำว่า“อดทน” ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งหากยกเลิกก็จะเป็นลบต่อตลาดหุ้น เพราะตลาดจะตีความว่าโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดมีมากขึ้น

- EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่ม 4.5 ล้านบาร์เรล เป็น 448.9ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย แต่เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าสต็อกจะเพิ่มขึ้นมาก่อนหน้า ทำให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวไม่มาก ปิดตลาดสัญญา WTI ส่งมอบเม.ย.ลดลง 12 เซนต์ ปิดที่ 48.17 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT กลับเป็นเพิ่มขึ้น 1.15 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.54ดอลลาร์/บาร์เรลเพราะกังวลสถานการณ์ในลิเบีย

- สัญญาทองคำร่วงลงต่อ ปัจจัยกดดันหลักคือแนวโน้มการแข็งค่าของ US$ โดยสัญญาส่งมอบเม.ย.58 ลดลง 9.5 US$ เป็น 1150.60 US$/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กนง.มีมติ 4 ต่อ 3 ลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% (จาก 2.00% เป็น1.75%) โดยกรรมการมีมุมมองว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/57 และเดือนม.ค.58 ฟื้นตัวค่อนข้างช้า แรงส่งด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนน้อยกว่าคาด เนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนลดลง และเศรษฐกิจในระยะต่อไปยังมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนการส่งออกสินค้า คาดว่าจะฟื้นตัวใกล้เคียงกับที่คาด แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการชะลอ ตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ขณะที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยชดเชยอุปสงค์ในประเทศได้บางส่วน

• ธปท.จะมีการปรับคาดการณ์ GDP Growth ในวันที่ 20 มี.ค.นี้ จากปัจจุบันที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4% ในปี 58 และมูลค่าส่งออกเติบโต 1% โดยตลาดรับรู้ในทางว่าจะปรับลง แต่ก็รอดูว่าจะเป็นเท่าใด+ SCB รับลูกกนง.โดยประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝากลง 0.20%โดย MLR ลดเป็น 6.55% และเงินฝากประจำ 3, 6, 12 เดือนเป็น 0.90-0.95%, 1.15-1.20% และ 1.50% ตามลำดับ มีผลตั้งแต่ 12 มี.ค.58 เป็นต้นไป ส่วนอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ยังคงไว้ที่เดิม

ความเห็น Retail Research : เราประเมินว่าการแข่งขันเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธ.พ.ในปีนี้จะไม่รุนแรงมาก เนื่องจากอุปสงค์สินเชื่อไม่สูง การขยายกำลังการผลิตภาคเอกชนมีไม่มาก เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตภาคอุตสาหกรรมปัจจุบันอยู่ในระดับ 60-61% เท่านั้น และธ.พ.มีสภาพคล่องส่วนเกินอยู่มาก โดยก่อนหน้าธปท.รายงานว่า ณ สิ้นวันธ.พ.นำสภาพคล่องส่วนเกินมาฝากที่ธปท. 7-8 แสนล้านบาทต่อวัน ส่วนการเติบโตของสินเชื่อธ.พ.ปีนี้ไม่มาก (โดยสินเชื่อที่จะเติบโตดีเป็นสินเชื่อส่วนบุคคล ลิสซิ่ง ที่เน้นลูกค้าที่มีรายได้ต่ำเป็นหลัก) โดยรวมเรามีมุมมองที่เป็นNeutral กับกลุ่มธ.พ.ของไทย โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของกลุ่มในปีนี้จะเติบโตเพียง 8% และธนาคารที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิขยายตัวดีกว่ากลุ่มเป็น SCB และ TMB ที่ 13% และ 14% ตามลำดับ และมี PEG ปี 58 อยู่ที่ 0.8 เท่าทั้งสองธนาคาร แนะนำซื้อ SCB ราคาพื้นฐาน 1ปีอยู่ที่ 235 บาท และซื้อ TMB ราคาพื้นฐาน 1 ปีเท่ากับ 3.60 บาทการเก็งกำไรรอบสั้นแนะให้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคประกอบ โดยแนะนำให้ซื้อด้วยค่าบวกของ SCB ให้แนวต้านระยะสั้น 180-185, 190 บาท ส่วนTMB เน้นซื้อเมื่อราคายืนเหนือ 3 บาท โดยจะมีแนวต้าน 3.10, 3.20 บาท

• ภาษีที่ดิน&สิ่งปลูกสร้างยังไม่นิ่ง...ล่าสุดมีการผ่อนผันเพิ่มเติม เช่นอาจให้บ้านที่มีราคาประเมินไม่ถึง 2 หรือ 2.5 ล้านบาทได้รับการยกเว้นภาษี (เดิมเป็น 1 หรือ 1.5 ล้านบาท) แลบ้านที่มูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาทเสียภาษีในอัตราครึ่งหนึ่ง คือ 0.05% รวมถึงการผ่อนผัน & ลดหย่อนภาษีให้กับผู้เกษียณอายุที่มีอายุเกิน 60 ปี ฯลฯ ทั้งนี้คาดว่าภาษีจะมีผลบังคับใช้ในอีก 2 ปีข้างหน้า

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!