- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 26 February 2015 16:35
- Hits: 1725
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“กังวลเศรษฐกิจฟื้นช้ากดดัน”
•หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ร่วงแรง เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าจะเลื่อนเปิดประมูล 4G ออกไป ส่งผลให้หุ้น ADVANC ร่วงแรงเพราะอายุสัมปทานเหลือน้อยกว่าผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะหุ้น ADVANC ซึ่งถ่วงตลาดลงไปถึง 3.2 จุด จากที่ตลาดลดลง 9.33 จุด (ปิดที่1589.33) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากถึง 5 พันกว่าล้านบาท
ในระยะสั้นมากตลาดกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยในประเทศมากขึ้น หลังจากความกังวลเรื่องกรีซผ่อนคลายลงและประเมินว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว โดยในเรื่องของผลประกอบการบจ,และเงินปันผลมีน้ำหนัก Neutral (เพราะมีทั้งที่ดีและแย่กว่าคาด) แต่ในส่วนของภาวะเศรษฐกิจโดยรวมค่อนไปทางลบ (Negative) โดยล่าสุดมูลค่าส่งออกเดือนม.ค.58 ออกมาแย่กว่าคาด โดยหดตัวลง 3.46% เนื่องจากมูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกังน้ำมันหดตัวลง ซึ่งส่งออกที่ซบเซานานกว่าคาดเป็น Downside Risk ของประมาณการ GDP Growth ของไทยในปีนี้ สำหรับอุปสงค์ในประเทศ จากการสอบถามผู้ประกอบการพบว่า ในเดือนม.ค.58 กระเตื้องขึ้นบ้างเมื่อเทียบ YoY แต่ในเดือนก.พ.กลับมาทรงตัวอีกครั้ง ส่วนสินเชื่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พบว่าถ้าไม่รวม BAY เดือนม.ค.58 หดตัว 0.6%MoM เราคิดว่าในช่วง 1H58 เศรษฐกิจไทยจะยังซบเซา โดยไปลุ้นการเติบโตอีกครั้งใน 2H58 ในเชิงกลยุทธ์ เน้นการทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัวเพื่อการลงทุนระยะกลาง-ยาว
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบแต่ยังไม่ทิ้งโอกาสรีบาวด์สั้น แนวต้านระยะสั้นให้ไว้ที่ 1610-1620 จุด ค่าลบควรชะลอการลงทุน แนวรับเก็งกำไรอยู่ที่ 1580-1570, 1550 จุด การปรับขึ้นของ SET แล้วไม่ผ่าน High เดิม คือ 1620 จุด แนะนำให้ขายออกไปก่อน
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตลาดประเมินว่าสัญญาณเฟดว่าจะไม่รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยประธานเฟด นางเยลเลนแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะพิจารณาปัจจัยที่หลากหลายทางเศรษฐกิจเพื่อประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตลาดประเมินว่าเฟดส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่สหรัฐดีกว่าคาดในเดือนม.ค.58 โดยอยู่ที่481,000 ยูนิต เพิ่มขึ้น 5.3%YoY และดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเป็น470,000 ยูนิต
• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดเปลี่ยนแปลงไม่มาก โดยดัชนี DJIA เพิ่มขึ้น 15.38จุด หรือ +0.08% ดัชนี NASDAQ ลดลง 0.98 จุด หรือ -0.02% ดัชนีS&P500 ลดลง 1.62 จุด -0.08% การซื้อขายผันผวนเพราะกังวลผลประกอบการภาคเอกชนสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงานทั้งนี้หุ้น Apple ร่วงลงหลัง Blackberry ประกาศเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับGoogle ขณะที่กลุ่มพลังงานถูกถ่วงลงเพราะผลประกอบการบริษัทในกลุ่มที่ลดลงมาก
•/- สัญญาน้ำมันดิบปรับขึ้น แต่ไปไม่ไกลเพราะสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสูงมาก สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 1.71 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.99 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT พุ่งขึ้น 2.97 ดอลลาร์ ปิดที่ 61.63ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยเกื้อหนุนในระยะสั้นมาก คือ การที่รัฐมนตรีน้ำมันของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่าอุปสงค์น้ำมันกำลังขยายตัวในขณะที่ความผันผวนของตลาดเริ่มน้อยลง ซึ่งความเห็นดังกล่าวช่วยลดข่าวลบเรื่องสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐรอบสัปดาห์สิ้นสุด 20 ก.พ. ว่าพุ่งขึ้น 8.4 ล้านบาร์เรล แตะที่ 434.1ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4 ล้านบาร์เรล
• สัญญาทองคำรีบาวด์เล็กน้อย โดยสัญญาในตลาด COMEX(Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับขึ้น 4.2 ดอลลาร์ หรือ+0.35% ปิดที่ระดับ 1,201.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• อัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะเสนอครม.ในเดือนมี.ค.58ในเบื้องต้นเป็นดังนี้ 1) ที่ดินการเกษตร เพดานภาษี 0.25%, 2)ที่ดินอยู่อาศัย เพดานภาษี 0.5%, 3) ที่ดินเพื่อพาณิชย์ เพดาน 2%, 5) ที่ดินว่างเปล่า เริ่ม 0.5% และเก็บเพิ่ม 1 เท่าใน 3 ปีถ้าไม่ใช้ประโยชน์ เพดาน 2%ส่วนที่พักอาศัยจะยกเว้นที่พักอาศัยที่ราคาประเมินไม่เกิน 1 ล้านบาทส่วนราคา 1 แต่ไม่เกิน 3 ล้านบาทคิด 50% ของอัตราที่กำหนด ส่วนที่ราคาเกิน 3 ล้านบาทเก็บเต็มอัตราที่กฎหมายกำหนด
-มูลค่าส่งออกเบื้องต้นเดือนม.ค.58 ลดลง 3.46%YoY เนื่องจากราคาสินค้าส่งออกที่อิงกับราคาน้ำมันลดลงมาก เช่น เคมีภัณฑ์, เม็ดพลาสติก ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรซบเซา ทั้งนี้ส่งออกสินค้าเกษตรที่หดตัวมาก ได้แก่ ยางพารา -40.6%YoY, ข้าว –13%YoY, มันสำปะหลัง -12.1%YoY, อาหารทะเลแช่แข็ง -9.7%YoY สำหรับส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเติบโตเล็กน้อย 0.6%YoY โดยสินค้าที่เติบโต คือ กลุ่มยานยนต์, เครื่องคอมพิวเตอร์, อัญมณี & เครื่องประดับ, เหล็กและผลิตภัณฑ์ส่วนที่หดตัวเป็นเคมีภัณฑ์, เม็ดพลาสติก ตลาดส่งออกใหญ่ที่หดตัว คือจีน (-19.7%YoY), ญี่ปุ่น (-7.5%YoY) และยุโรป (-5%YoY) ส่วนส่งออกไปตลาดสหรัฐเพิ่มขึ้น (+6%YoY)
ความเห็น Retail Research : มูลค่าส่งออกเดือนม.ค.58 อ่อนแอกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ และแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะต่ำกว่าปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญยังคงกดดันมูลค่าส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิก เคมีภัณฑ์และเม็ดพลาสติก ซึ่งคิดเป็น 16% ของมูลค่าส่งออกของไทย เราประเมินว่าการส่งออกที่ซบเซาเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญหนึ่งที่ทำให้ GDP Growth ของไทยจะเติบโตต่ำกว่าที่ DBS ประมาณการไว้ที่ 3.8% เราให้น้ำหนักลงทุนในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์และอาหารส่งออกเป็น Neutral เพราะมองว่า 1)ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนค่าเมื่อเทียบ US$, 2) ถูกต่อรองราคาขายมากขึ้น,3) กำลังซื้อประเทศคู่ค้าหลักยังไม่แข็งแกร่ง และ 4) อุปทานสูงขึ้น กดดันราคาและผลดำเนินงานในส่วนที่ขายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังมีบางหลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของตลาด เช่น KCE (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 55 บาท)
•/- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : สินเชื่อม.ค.58 หดตัว 0.6%MoM แต่เติบโต 2.7%YoY (ไม่รวม BAY) โดย KBANK มีการเติบโตของสินเชื่อดีกว่ากลุ่มที่ +1.1%MoM สำหรับ BAY ถ้าไม่รวมสินเชื่อ BTMU ที่ 2.2แสนล้านบาท สินเชื่อเฉพาะของ BAY -1.3%MoM เพราะมีการชำระคืนหนี้ของ Corporate, SME, เครดิตการ์ด และสินเชื่อส่วนบุคคล สำหรับธนาคารอื่นๆ ที่ไม่ใช่ BAY และ KBANK สินเชื่ออ่อนตัวลง MoM ทั้งสิ้นบ่งชี้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจยังไม่ดีนัก ความต้องการใช้สินเชื่อจึงเพิ่มขึ้นไม่มากและไม่สามารถชดเชยกับการชำระคืนหนี้ได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถเติบโตดีขึ้นได้ในช่วง 2H58 ทั้งนี้ DBSV ยังให้สมมติฐานสินเชื่อปี 58 เติบโต 9% ในเชิงกลยุทธ์ เห็นว่าการอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะในการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุน เพราะเห็นว่ากลุ่มแบงค์ของไทยมีความมั่นคงสูง และสามารถกลับมาเติบโตได้ดีเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวได้เต็มศักยภาพ หุ้น Top Picks คือ KBANK และ TMB
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]