- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 12 February 2015 16:09
- Hits: 1629
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือเหนือ 1600”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ผันผวน โดยระดับสูงสุดกับต่ำสุดห่างกันถึง 21.76 จุด โดยปิดในระดับเกือบสูงสุดของวันที่1605.11 (+10.15 จุด) กลุ่มที่นำตลาดขึ้นเป็นธนาคารพาณิชย์, SCC, IVL, TUF, TRUE, MINT เป็นต้น นักลงทุนต่างชาติ สถาบันในประเทศ และพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ส่วนรายย่อยขายสุทธิ
การประกาศ MSCI Quarterly Review ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัดมาก เนื่องจากไม่มีการนำหุ้นใหม่เข้าไปคำนวณเพิ่ม และไม่มีการตัดหุ้นออกมีเพียงการเพิ่มน้ำหนัก (Weight – Pro forma) ในหุ้น TUF (+0.05% เป็น 1.38%) และลดน้ำหนักใน PTT เล็กน้อย (-0.01% เป็น 10.87%) ส่วนหุ้นที่เหลือไม่เปลี่ยนแปลง ด้านการประชุมรมว.คลังยูโรโซนเรื่องกรีซ ก็ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในข้อเสนอใดๆ และจะมีประชุมรมว.คลังนัดต่อไปในวันจันทร์ที่ 16 ก.พ.58 ซึ่งอาจมีความคืบหน้ามากขึ้น ทั้งนี้มาตรการขอรับความช่วยเหลือของกรีซฉบับปัจจุบันจะหมดอายุลงในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ส่วนในประเทศมีเรื่องรายงานผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลของบจ.ที่ทยอยประกาศออกมา ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มโรงกลั่นเป็น Overweight โดยมีหุ้น TOP เป็น Top pick ปัจจัยหนุน คือ ค่าการกลั่นที่ดีขึ้นจากมูลค่าส่วนสูญเสียของกระบวนการกลั่นลดลงตามราคาน้ำมันดิบ และปัจจุบัน Crude Premium กลายเป็นติดลบ (จากปกติจะบวก 3-5 US$/bbl) หุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้อลงทุนวันนี้เป็น TUF
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกเล็กๆ ภาพตลาดเป็นการแกว่งลง แต่อาจมีการปรับขึ้นก่อนแล้วค่อยถอยลง ระยะสั้นให้แนวต้านไว้ที่ 1610-1620, 1630 ค่าลบควรลดพอร์ตตาม ต่ำกว่า 1600 Stop loss
สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ในทางเทคนิค พบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ PRIN, PRINC, SENA ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PACE,TIPCO, LH, QH, IRPC หุ้นที่หลุด List คือ RCI, CEN สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าพิจารณา Take Profit ตามรอบ คือNBC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
•/- บอนด์เอเชียคึกคักหลังประกาศ QE ยูโรโซน นับตั้งแต่ ECB ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย QE มูลค่า 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน ในช่วงมี.ค.58-ก.ย.59 รวมมูลค่า 1.14 ล้านยูโร พบว่า Bond Yield ของประเทศในยูโรโซนลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สิ่งที่ตามมา คือ นักลงทุนโยกย้ายออกจากพันธบัตรยูโรโซนมาหาอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งเป้าหมายที่สนใจคือ พันธบัตรเอเชียที่มีอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่ามากนักวิเคราะห์ในตลาดเงินคาดว่าเมื่อ ECB เริ่มทำ QE จริงในเดือนมี.ค.58จะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรเอเชียอีกมาก มีการคาดการณ์กันว่าตลาดพันธบัตรเอเชีย (สกุล US$) จะเติบโตอย่างน้อย 5 เท่าเป็น 1 ล้านล้านUS$ ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ไป นอกจากนั้นตลาดพันธบัตรเอเชียยังมีแรงดึงดูดจากการที่หลายประเทศจะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยหลังอัตราเงินเฟ้อปรับลงมากด้วย ซึ่งตลาดพันธบัตรที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนยุโรป ได้แก่ อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และไทยเราประเมินว่า ถ้ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดพันธบัตรเอเชีย รวมถึงไทยมากจริงดังคาดการณ์ เงินบาทก็จะอ่อนค่าไม่มาก ซึ่งอาจมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคส่งออกไทย เพราะสินค้าส่งไทยจะดูแพงในสายตาของประเทศที่ค่าเงินอ่อนเทียบกับบาท เช่น สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกไปตลาดละประมาณ 10%
• กรีซ : ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มยูโรโซน 11 ก.พ.58 ยังไม่สามารถตกลงกันในข้อเสนอ & รายละเอียดโครงการใดๆ โดยจะมีการประชุมรมว.คลังยูโรโซนอีกครั้งในวันจันทร์หน้า (16 ก.พ.58) ซึ่งมีความหวังว่าอาจมีความคืบหน้าในข้อตกลงแก้ปัญหาหนี้ระยะสั้นกรีซก่อนที่มาตรการช่วยเหลือฉบับปัจจุบันจะหมดอายุในวันที่ 28 ก.พ.นี้ ส่วนวันนี้จะมีประชุมผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ต่อ
• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดในกรอบแคบ โดยดัชนี DJIA ลดลง 6.62 จุด ดัชนีNASDAQ เพิ่มขึ้น 13.54 จุด ดัชนี S&P500 ลดลง 0.06 จุด อย่างไรก็ตามดัชนีในวันผันผวนสูงจากการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการและแรงขายเพราะความระมัดระวังกับผลประชุมกรีซกับเจ้าหนี้ยุโรป- สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวต่อ...สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย WTI ส่งมอบมี.ค.ร่วงลง 1.18 ดอลลาร์ ปิดที่48.84 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ลดลง 1.77 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.66ดอลลาร์/บาร์เรล ปัจจัยกดดดัน คือ EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ก่อนว่าเพิ่มขึ้น 4.9 ล้านบาร์เรล เป็น 417.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเม.ย.ร่วงลง 12.6 ดอลลาร์หรือ -1.02% ปิดที่ระดับ 1,219.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กลุ่มโรงกลั่น...คาด Core Profit กำลังฟื้นตัว โดย Crude premiumพลิกเป็นมีส่วนลด 0.2-2 US$/bbl จากเดิมเป็นส่วนเพิ่มราว 3-5US$/bbl ซึ่งเป็นบวกกับ TOP และ IRPC มากสุด และมูลค่า Fuel lossลดลงมากตามราคาน้ำมันดิบ ประเมินว่า IRPC ได้ส่วนเพิ่มนี้มากสุดเพราะมีส่วนสูญเสียจากโรงกลั่นสูงที่ 6% ขณะที่โรงกลั่นอื่นอยู่ที่ 3% ฝ่ายวิจัยฯ DBSV ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรหุ้นโรงกลั่น (BCP, IRPC, PTTGC,TOP) ปี 2558F ขึ้น 9-111% ให้น้ำหนักลงทุน Overweight กลุ่มโรงกลั่นโดยมี TOP เป็นหุ้น Top pick
• MSCI ประกาศ Quarterly Review ในวันที่ 11 ก.พ.58 สำหรับตลาดหุ้นไทยพบว่าไม่มีการเอาหุ้นออก (No deletions) และไม่มีการนำหุ้นเข้าไปเพิ่ม (No additions) ใน MSCI Thailand Index และยังคง Overallone-way Index Turnover ไว้ที่ 0.05% ทั้งนี้ MSCI มีการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน (Weight - Pro forma) ใน TUF (+0.05% เป็น 1.38%)และลดน้ำหนักใน PTT เล็กน้อย (-0.01% เป็น 10.87%) ส่วนหุ้นที่เหลือไม่เปลี่ยนแปลง คือ SCB (9.20%), KBANK-F (8.61%), ADVANC(8.53%), CPALL (6.09%), PTTEP (4.78%), KBANK (4.72%), SCC-F(4.51%), AOT (4.09%), TRUE (3.60%) โดยการ Review รอบนี้จะมีผลตั้งแต่ 25 ก.พ.58
• ผู้ประกอบการสายการบินยืนยันผลตรวจสอบ ICAO มีผลต่อธุรกิจการบินเส้นทางยุโรป ออสเตรเลีย โดยถ้าองค์กรรับรองมาตรฐานการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานและกำกับดูแลความปลอดภัยของกรมการบินพลเรือน (บพ.) ประกาศลดระดับมาตรฐานการบินของบพ.ลงจาก A เป็น B…หากลดระดับจริงคาดว่าจะกระทบ THAI มากที่สุด เพราะมีเที่ยวบินในเส้นทางยุโรป ออสเตรเลียมากกว่าสายการบินอื่นๆ
• LHBANK : ผู้บริหารธนาคารกล่าวว่าขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปเรื่องการขายหุ้น หลังเจรจากับพันธมิตรในประเทศและต่างประเทศ 3 ราย แต่มีการถอนตัวไปแล้ว 1 ราย ส่วนแผนงานปี 2558 ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ 22-25% และบริหาร NPL ratio ให้ไม่เกิน 2% (ข่าวหุ้น)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]