- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 06 June 2014 18:04
- Hits: 3301
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
'การลดดอกเบี้ยของ ECB หนุนตลาดหุ้น'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
• ภาพตลาดวันก่อน : ดัชนีขยับขึ้นต่อ 3.76 จุด มาปิดที่ 1453.16 มูลค่าซื้อขายลดลงเป็นต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาทเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้นักลงทุนมีทั้งซื้อและขายในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยกลุ่มแบงค์ที่ถูกขายทำกำไรวันก่อน ก็มีแรงซื้อกลับเมื่อวานนี้ เป็นต้น ปัจจัยที่จับตา คือ ผลประชุมECB ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเหรือไม่ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิกลุ่มละ 300-400 กว่าล้านบาท ด้านสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2.15 พันล้านบาท
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : การที่ ECB ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.25% เป็น 0.15% และลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจาก 0% เป็น -0.1% กระตุ้นให้นักลงทุนบางกลุ่มโยกย้ายเม็ดเงินเข้ามาแสวงหากำไรในตลาดหุ้น เนื่องจากคาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่า (ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ของสหรัฐตอบรับด้วยการปรับขึ้น 0.6%) สำหรับตลาดหุ้นไทย (ทาง DBS Group Research ปรับเพิ่มน้ำหนักเป็น Overweight ตั้งแต่วันที่ 30 พ.ค.57) น่าจะได้รับประโยชน์ด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งในกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศซึ่งได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลรัฐประหาร ภาคส่งออกที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น Big Cap ซึ่งนักลงทุนต่างชาติชอบ เพราะมีทั้งปัจจัยพื้นฐานและสภาพคล่องในการซื้อขาย สำหรับ Top-5 หุ้น Big Cap ที่มี Valuation จูงใจ และ ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ทาง Retail Research เห็นว่าน่าลงทุน ได้แก่ BBL, KTB, INTUCH, CPALL และ SPALI สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำของวันนี้ เป็น KTBด้านวิเคราะห์ทางเทคนิค กลยุทธ์โดยหลักเป็นการซื้อตามค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1460, 1480 จุด โดยแนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดอยู่ที่ 1420 จุด
Fundamental Pick
KTB แนะนำซื้อปิด 19.80 บาท ราคาพื้นฐาน 23 บาท
• คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการใช้จ่าย & ลงทุนในโครงสร้างขั้นพื้นฐานของรัฐบาล เนื่องจากมีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อในโครงการรัฐสูงกว่าธนาคารอื่นๆ ผลประกอบการปี 58 จึงมีโอกาสดีกว่าที่เราประมาณการไว้ (+11%) แต่ในปี 57 คาดว่ากำไรสุทธิไม่น่าจะต่างจากที่เราประเมินนัก ซึ่งเป็นระดับที่ไม่น่าตื่นเต้น (โดยมีสมมติฐานหลักของปี 57 คือ สินเชื่อ +4.2%, รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย +10%) แต่...ตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิด Positive Upside มากขึ้นในสภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหลังจากคสช.เข้ามาบริหารประเทศ ณ ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E และ P/BV ปี 57 ต่ำเพียง 8 เท่า และ 1.2 เท่า ตามลำดับ ด้าน DividendYield ก็อยู่ในเกณฑ์สูงที่ประมาณ 5% สำหรับปี 57 ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 23 บาท
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ ยูโรโซน : ECB ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็น 0.15% (เดิม 0.25%) และลดดอกเบี้ยเงินฝากเป็น -0.1% (เดิม 0%) เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินฝืด
+ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 0.15% จากระดับเดิมที่0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และป้องกันภาวะเงินฝืด นอกจากนี้ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงสู่ระดับ -0.10% จากระดับเดิมที่ 0% ส่งผลให้ธนาคารกลางยุโรปเป็นธนาคารกลางแรกในโลกที่ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบ ซึ่ง ECB คาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ติดลบจะช่วยกระตุ้นให้ธนาคารต่างๆ ปล่อยเงินกู้ระหว่างธนาคารและในตลาดมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการลงทุนการจ้างงาน และการบริโภคในยูโรโซน
• ECB ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะกลางในเขตยูโรโซนลงเหลือ 1.4% ในปี 59 (เดิมเมื่อมี.ค.57 อยู่ที่ 1.5% ซึ่งปรับลดจาก 1.7% ในช่วงก่อนหน้า) ซึ่งเป็นระดับที่ลดต่ำลงอีกอย่างมาจากเป้าหมายอัตราเงินเพื่อที่เกือบระดับ 2.0% สำหรับอัตราเงินเฟ้อของปี 57 ได้ปรับลดลงเป็น 0.7% (เดิม 1.0%) และของปี 58 เป็น 1.1% (เดิม 1.3%)
• ในส่วนของการขยายตัวทางเศรษฐกิจยูโรโซน ECB คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจงยูโรโซนจะขยายตัว 1.8% ในปี 59 หลังจากที่ขยายตัว 1.7% ในปี 58 และ 1.0% ใน 57
-/• จีน : PMI ภาคบริการเดือนพ.ค.ต่ำลงเมื่อเทียบ MoM
-/• HSBC เผยดัชนี PMI ภาคบริการจีนเดือนพ.ค.ขยายตัวลดลงแตะ 50.7 จาก 51.4 ในเดือนเม.ย. ซึ่งดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการเติบโต แต่เป็นการเติบโตในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบ MoM ...นับว่าเศรษฐกิจจีนยังไม่ได้เติบโตแข็งแกร่งมาก และคาดว่าทางการจีนจะทยอยผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังต่อ เพื่อให้เศรษฐกิจในปีนี้บรรลุเป้าหมายการเติบโตที่ 7.5%
+ ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้น รับข่าว ECB ลดอัตราดอกเบี้ย
+ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,836.11 จุด เพิ่มขึ้น 98.58 จุด หรือ +0.59% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,296.23 จุด เพิ่มขึ้น 44.59 จุด หรือ +1.05% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,940.46จุด เพิ่มขึ้น 12.58 จุด หรือ +0.65% ปัจจัยหนุนหลัก คือ การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB สำหรับปัจจัยที่จับตา คือ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ของสหรัฐ ซึ่งจะออกมาในคืนวันนี้สำหรับตัวเลขภาคแรงงานรายสัปดาห์ ทางกระทรวงแรงงานของสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 31 พ.ค. เพิ่มขึ้น 8,000 ราย สู่ระดับ 312,000ราย ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะอยู่ที่ระดับ 310,000 ราย
• สัญญาน้ำมันดิบแกว่งแคบ
• สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 16 เซนต์ ปิดที่ 102.48 ดอลลาร์/บาร์เรลสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ ปิดที่ 108.79ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ตลาดน้ำมันยังขาดปัจจัยกระตุ้นที่มีนัยสำคัญ แม้ว่าเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทำให้อุปสงค์พลังงานเพิ่มขึ้น แต่ก็มีพลังงานอื่นเข้ามาทดแทนการใช้น้ำมันมากขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติ, พลังงานทางเลือกต่างๆ (แสงอาทิตย์, ลม, ชีวมวล เป็นต้น)
+/- สัญญาทองคำ COMEX ปรับขึ้น 0.7%ขานรับการลดดอกเบี้ยของ ECB แต่แนวโน้มระยะยาวยังซบเซา
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 9 ดอลลาร์หรือ 0.72% ปิดที่ 1,253.3 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นการขานรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและเงินฝากของ ECB อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายยังมีมุมมองที่เป็นลบต่อทิศทางราคาทองคำในระยะกลาง-ยาว ล่าสุดนักวิเคราะห์ของโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน)คาดการณ์ว่า ราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 58 และจะลดลงมาต่ำกว่าระดับ 1,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในปี 59 หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวลงสู่ระดับ 825ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงปี 60-62 อันเนื่องจากแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในช่วงขาขึ้น
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
+ คาดหุ้น Big Cap ในกลุ่มหลักได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยของECB …หุ้น Big Cap ที่มี Valuation จูงใจ ใน5 อันดับแรกของเรา คือ BBL, KTB,INTUCH, CPALL และ SPALI
+ ECP ลดดอกเบี้ยหนุนตลาดหุ้น การที่ ECB ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ0.15% จากเดิม 0.25% และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลงเป็น -0.10% จากเดิม 0.00% ทำให้คาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินส่วนหนึ่งไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูงกว่ามาก ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว และเศรษฐกิจเอเชียที่ยังเติบโตดีก็เป็นปัจจัยหนุนด้วย
+ มีโอกาสที่ต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นไทยต่อ สำหรับไทย ซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้มีการขายสุทธิไปมากในปี 56 ที่ 1.95 แสนล้านบาท และในช่วง YTD (ต้นปี 57 – 5 มิ.ย.) ที่ยังขายสุทธิสะสม3.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มดีขึ้นหลังจากปัญหาการเมืองคลี่คลายและเข้าสู่ช่วงการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้งใหม่ในอีกประมาณ 1 ปีข้างหน้า ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกรอบ ซึ่งใน MTD ของเดือนมิ.ย.57 เริ่มเห็นตัวเลขซื้อสุทธิสะสมของต่างชาติที่ประมาณ7.6 พันล้านบาทแล้ว
+ คาดว่าหุ้น Big Cap ในกลุ่มหลักจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ ทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง และมีสภาพคล่องในการซื้อขายสูง ซึ่งทาง Retail Research ให้หุ้น
Top Picks ในกลุ่มหลักเป็นดังนี้
• Top-5 หุ้น Big Cap ที่มี Valuation จูงใจ และมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง น่าลงทุน คือ
1. BBL : P/E และ P/BV ต่ำที่ 9 เท่า และ 1.1 เท่า ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 228 บาท
2. KTB : P/E และ P/BV ต่ำเพียง 8 เท่าและ 1.2 เท่า ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม แนะนำซื้อให้ราคารพื้นฐาน 23 บาท
3. INTUCH : มี Discount จาก NAV ซึ่งประกอบด้วย ADVANC & THCOM แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 91 บาท
4. CPALL : การเติบโตของกำไรสุทธิสูงกว่า P/E ที่ซื้อขาย ทำให้มี PEG ปีนี้ยังต่ำที่ 0.8 เท่าแนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 48 บาท
5. SPALI : การเติบโตของกำไรสุทธิปี 57-58 สูง 43% และ 17% ตามลำดับ แต่ P/E ต่ำเพียง8-9 เท่า แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 24 บาท
• BEAUTY : กองทุนเทมเปิลตันควัก 555ล้านซื้อหุ้น BEAUTY 10%...นักวิเคราะห์ในSAA Consensus แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 24.93 บาท
• เมื่อ 5 มิ.ย. 2557 กองทุน Franklin Templeton Investments ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าซื้อหุ้นบริษัท บิวตี้คอมมูนิตี้ (BEAUTY) จำนวน 30 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ในราคาหุ้นละ 18.50 บาท มูลค่ารวม 555 ล้านบาท โดยซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งราคาที่เข้าซื้อมีDiscount จากราคาปิดเมื่อวานนี้ 15.5% โดยให้เหตุผลว่า ชอบธุรกิจความงามและสุขภาพที่มีอัตราการเติบโตดี
• นักวิเคราะห์ใน SAA Consensus 4 ราย ประมาณการว่ากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของBEAUTY จะขยายตัว 18.5% เป็น 0.90 บาท/หุ้น ในปี 57 และเติบโตต่อ 25% เป็น 1.12 บาท/หุ้น ในปี 58 ซึ่งราคาซื้อขายปัจจุบันมี P/E ปี 57 เท่ากับ 24.3 เท่า และลดลงเป็น 19.6 เท่าในปี58 คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ที่ 3% นักวิเคราะห์ทั้ง 4 ราย แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย24.93 บาท (Average)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]