- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 February 2015 16:38
- Hits: 1473
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
มุมมองในทางเทคนิค
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีฯ เปิดตลาดที่ 1609 จุด ลดลงจากวันก่อน 4จุด แรงขายหุ้น PTT และหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นตัวฉุดดัชนีฯ จากนั้นทรงตัวในกรอบแคบในแดนลบตลอดทั้งวัน และมีแรงขายในช่วงใกล้ปิดตลาดมาอีกระลอกหนึ่ง กดให้ดัชนีฯปิดลดลง 11.86 จุด
ดัชนีฯ ปิดตลาดที่ 1601.77 จุด ลดลง 11.86 จุด หรือ 0.73%
คาดการณ์ตลาดวันนี้
การที่ดัชนีฯปิดที่ระดับต่ำสุดของวัน แม้จะยืนเหนือระดับ 1600 จุด แต่หลุดจากแนวรับซึ่งเป็น trend line ลงมา เป็นสัญญาณเตือนว่า ถ้าวันนี้ ไม่สามารถยืนเหนือ 1600 จุดได้อีก ดัชนีฯอาจมีการพักตัวอีกครั้งหนึ่ง หรือจะเรียกว่าปรับฐานก็ว่าได้ เนื่องจากการแกว่งตัวขึ้นๆลงๆลักษณะนี้ของดัชนีฯ
จะทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ทยอยขายหุ้นออกมาเรื่อยๆ เพราะไม่มั่นใจว่าจะยืนเหนือ 1600 จุดได้จริงหรือไม่
คำแนะนำในวันนี้ นักลงทุนที่มีหุ้น(หุ้นใหญ่) หากดัชนีฯเป็นลบ หรือหลุดจาก 1600 จุดลงไป ควรพิจารณาขายหุ้นที่มีกำไรออกไปก่อนบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง
กลยุทธ์ : “ จะให้ดี ต้องกลับยืนเหนือ 1600 ”
Support 1600 , 1588, 1583 , 1570 จุด Resistance 1610 ,1619 , 1630 , 1667 จุด
สุทธิวิทย์ เทศนาบุญ
Fundamental Investment Analyst on Capital Market and Technical Investment Analyst
เลขทะเบียน : 028533
Tel 02- 6481129 Email: [email protected],th
มงคล พ่วงเภตรา
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ทางเทคนิค
Tel 02- 6481123 Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
Market Trend
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (9 ก.พ.) - SET Index ปิดที่ 1,601.77 จุด ลดลง 11.86 จุด หรือ 0.73% มูลค่าการซื้อขาย 58,926.49 ล้านบาท แรงขายเข้ามาในตลาดตั้งแต่ภาคเช้า คาดปัจจัยหลักมาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาเรื่องหนี้ระหว่างกรีซกับตัวแทนของยูโรโซนที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ และตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของจีนที่ชะลอตัว เป็นต้น โดยปัจจัยในประเทศ มีเพียงความไม่แน่ใจในเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจเนื่องจากยังไร้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตัวใหม่ๆ
ตลาดหุ้นต่างประเทศ - ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากความกังวลต่อการที่รัฐบาลกรีซยังมีท่าทีไม่ยอมรับเงื่อนไขในการกู้เงิน ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูผลการประชุมของรัฐมนตรีคลังกลุ่มยูโรโซนในวันพรุ่งนี้ (11 ก.พ.) เพื่อพิจารณาเงินให้กู้แก่ประเทศกรีซ ... เรื่องของกรีซ จะกลายมาเป็นประเด็นหลักๆที่จะทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียชะลอการลงทุนตามตลาดหุ้นฝั่งตะวันตกในวันนี้
ราคาน้ำมันดิบ WTI (Mar) - ปิดตลาดที่ $52.86 เหรียญ/บาร์เรล สูงขึ้น $1.17 เหรียญ ราคาน้ำมันดิบ ยังเดินหน้าต่อหลังตัวเลขการผลิตน้ำมันของผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคลดลงตามลำดับ
พลังงานทดแทน (แสงอาทิตย์) - กระทรวงพลังงาน เตรียมลงนามซื้อขายโซลาร์ฟาร์ม 25 โครงการ 138.35 MW ในก.พ.นี้
LHBANK, กลุ่มซีพี -เจ้าสัวซีพีใกล้ปิดดีลซื้อหุ้น "แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป" ภายในเดือนมีนาคมนี้ ก่อนเข้าถือหุ้นใหญ่ 51% ระบุวินวินทั้งคู่ ซีพีใช้แบงก์เป็นฐานปล่อยกู้บริษัทในเครือ
ทิศทางตลาดหุ้นไทย แม้ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นก็ตาม แต่นักลงทุนจะให้น้ำหนักกับเรื่องการเจรจาเงินกู้ของกรีซ เพราะผลลัพท์ที่ออกมาอาจกระทบต่อตลาดหุ้นหากกรีซต้องออกจากกลุ่มยูโรโซนหรือปฎิเสธเงื่อนไขของทางกลุ่ม ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลก(ยกเว้นสหรัฐฯ) และไทยยังคงชะลอตัว เป็นผลให้นักลงทุนชะลอการซื้อหุ้นในช่วงนี้ (นักลงทุนต่างประเทศมียอด net sell ในวันที่ผ่านมา) จึงคาดว่า ดัชนีฯ ในวันนี้ น่าจะทรงๆหรือปรับตัวลงต่อ โดยนักลงทุนจะเข้าลงทุนที่เน้นข่าวบวกเฉพาะตัวมากกว่า
กลยุทธ์การลงทุน ต้องเน้นเล่นสั้นๆ เพราะตลาดต่างประเทศยังมีความผันผวนสูง ..... วันนี้ หุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมีบางตัว (PTTEP, PTTGC) มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ..... หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอื่นๆ บางส่วนมาจากการคาดการณ์งบไตรมาสที่ 4 อาทิ BGH , BMCL , HMPRO, TPIPL, GRAMMY , DELTA ..... นอกจากนี้ หุ้นที่มีการรายงานผลประกอบการในระหว่างวัน ที่ออกมาดี หรือดีกว่าคาด จะเป็นหุ้นที่จะถูกซื้อขายมากขึ้นเช่นกัน ส่วนช่วงบ่าย ควรติดตามตลาดหุ้นยุโรปประกอบการตัดสินใจซื้อขายด้วย เพราะอาจมีข่าวสำคัญๆเกี่ยวกับเรื่องของกรีซเข้ามาและมีผลต่อตลาดในภาคบ่าย
Stock in Focus
TPIPL - (ราคาปิด 2.78 บาท; ไม่มีราคาเป้าหมาย) เป็นหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวันที่ผ่านมา (9 ก.พ.) ประเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ คือ โครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะ ที่บริษัทฯ ได้เริ่มขายไฟให้กับการไฟฟ้าไปตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา 18MW (คาด EBITDA ประมาณ 300 ล้านบาท/ปี) และจะเริ่มผลิตไฟฟ้าจากขยะ อีก 60 MW พร้อมกับการเริ่มผลิตของโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ แห่งที่ 4 กลางปีนี้ (กำลังการผลิตปูนซีเมนต์จะเพิ่มจาก 9 เป็น 13.5 ล้านตันต่อปี)
.... เราประเมินในเบื้องต้น ว่ากำไรจากการขายไฟฟ้าของบริษัทฯ นอกจากจะเพิ่มรายได้และกำไรอย่างมากแล้ว จะมีสัดส่วนที่มีนัยยะสำคัญ คืออาจถึง 40% ของกำไรรวมของบริษัทฯ ในปี 2559 ซึ่ง เมื่อรวมกับรายได้ที่จะมาจากโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงที่ 4 แล้ว จะทำให้กำไรปี 2559 ของบริษัทมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากปี 2557 เลยทีเดียว (80-90% จากกำไรปี 2557)
มงคล พ่วงเภตรา
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
License No: 001937 Tel: 02-648-1123 และทีมวิเคราะห์