- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 February 2015 16:48
- Hits: 2131
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
วิเคราะห์ทางเทคนิค ..............Technical Wiz : บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
แนวโน้มตลาดวันนี้ (5 ก.พ. 58)
แนะนำ/แนวโน้ม แก๊งค์ 1600 อาละวาด แนวรับ 1 1,585 แนวต้าน 1 1,605
ดัชนีปิดเมื่อวาน 1,599.81 (-2.73) แนวรับ 2 1,580 แนวต้าน 2 1,610
SET ดีดตัวสูง และปิดต่ำตามคาดหมายเมื่อวานนี้ และการปิดต่ำกว่า 1,600 จุด ทำให้ทิศทางกราฟมีความเสี่ยง และเกิดสัญญาณ Dark Cloud ในแท่งเทียน หมายถึงแรงกดดันทางขายที่จะมีในวันนี้ ขณะที่ราคาหุ้นที่มี new high เมื่อวานนี้ กลับทำให้ RSI สวนทางปรับลง เป็น Negative Divergence หมายถึงทิศทางหุ้นขัดแย้ง และเป็นการขึ้นแบบหลอก ดังนั้นจะทำให้เกิดการปรับฐานทางเทคนิคตามมา
กลยุทธ์
1. แนวโน้มจะผันผวน ให้เน้นการขายหาก SET ทรงตัว หรือมีทิศทางบวก
2. การเข้าซื้อหุ้นควรใช้วิธี buy on weakness และหาก SET หลุด 1,580 จุด เป็นสัญญาณ ไม่ดี
3 หากวันนี้ปิดสูงกว่าเปิด ให้เก็บหุ้นท้ายตลาดได้แต่หากยังคงปิดในระดับต่ำกว่าเปิด หรือใกล้ low ของวัน ให้ลดปริมาณหุ้น
วิเคราะห์ทางเทคนิค รายหลักทรัพย์
TFD : ราคาปิด 4.66 บาท
แนวรับ 4.62 บาท แนวต้าน 4.80 บาท
แนว Cut loss หากหลุด 4.58 บาท
กราฟ TFD โค้งต้วเป็นกะทะหงายใบเล็ก และยกฐานขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ยืนยันด้วยสัญญาณซื้อใน RSI ซึ่งทำให้เราประเมินว่าแนวโน้มจะไต่ระดับขึ้นในระยะกลางแล้ว จึงแนะนำซื้อสะสม และแบ่งทำกำไรเป็นรอบ
GRAND: ราคาปิด 2.22 บาท
แนวรับ 2.16 บาท แนวต้าน 2.44 บาท
แนว cut loss หากหลุด 2.12 บาท
กราฟ GRAND พลิกตัวสูงขึ้นในแท่งเทียนแบบ Reversal และ RSI เกิดสัญญาณซ้อแบบยกฐาน แสดงถึงกราฟกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นแล้ว แนะนำเข้าสะสม หรือหากเก็งกำไรให้มองต้านสั้นที่ 2.44 บาท
* ประเด็นเด็ด หมายถึงการจับประเด็นข่าวที่เป็นจริงหรือเอ่ยอ้างในการซื้อขายเข้ามาเป็นข้อมูลแนบในหุ้นนั้นๆ โดยไม่ได้เป็นการนำมาเป็นข้อมูลแนะนำ
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
Market Trend
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4 ก.พ.) SET Index ปิดที่ 1,599.81 จุด ลดลง 2.73 จุด หรือ 0.17% มูลค่าการซื้อขาย 63,689.08 ล้านบาท ตลาดเปิดค่อนข้างแรง จากนั้นมีแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาดในหุ้นขนาดใหญ่หลายๆตัวที่ขึ้นมาแรง ยกเว้นหุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี ที่เป็นตัวพยุงตลาด นอกจากนี้ คาดว่า มาจากการที่ IMF ออกรายงานโดยคาด GDP ทั้งปี '57 และ '58 ของไทยขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าหลายสำนักวิจัยที่ออกมาก่อนหน้านี้ เป็นผลให้มีการขายหุ้นกลุ่มอิงเศรษฐกิจโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารออกมา
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Dow Jones ปรับตัวสูงขึ้น 6 จุด ได้ผลประกอบการของบริษัทหลายแห่งที่ออกมาดี ด้านตลาดหุ้นยุโรป เป็นบวกจากการสูงขึ้นของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ และการเจรจาระหว่างธนาคารกลางยุโรป (ECB) กับกรีซผ่านไปได้ด้วยดี (FTSE Eurofirst 300 Index +0.57%) …. ประเด็นที่น่าจับตาดู คือ ECB จำกัดวงเงินให้กู้แก่ธนาคารของกรีซ ซึ่งอาจส่งผลกระทบช่วงสั้นๆต่อตลาดหุ้น
ราคาน้ำมันดิบ WTI (Mar) ปิดตลาดที่ $48.45 เหรียญ/บาร์เรล ลดลง $4.60 เหรียญ ตัวเลข stock น้ำมันดิบ สหรัฐฯ โดย API เพิ่มขึ้นถึง 6 ล้านบาร์เรล ฉุดราคาน้ำมันให้ปรับตัวลดลง ... คาดว่า การร่วงลงของน้ำมันจะเป็นลบต่อราคาหุ้นกลุ่มน้ำมันของไทยในวันนี้
จีน - ปรับลดอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ จาก 20.00% เหลือ 19.50% มีผลวันนี้ รวมทั้งออกมาตรการอื่นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับธนาคาร … เราประเมินว่า การผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของจีน เสมือนเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเอง จะเป็นบวกกับตลาดหุ้นในวันนี้ด้วย
เศรษฐกิจไทย - IMF คาด GDP ปี 2557-58 ของไทยขยายตัว 0.5% และ 3.5% ตามลำดับ เป็นผลจากการลงทุนและการบริโภคชะลอตัว ขณะที่การลงทุนภาครัฐทำได้ไม่เต็มที่
การเมือง -นายกฯ ยันจะเลือกตั้งใหม่ในช่วงต้นปี 59 ตามกำหนดเดิม
ทิศทางตลาดหุ้นไทย แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปจะเป็นบวกแต่ก็บวกเพียงเล็กน้อย แต่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาก จึงมีน้ำหนักในทางลบต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่า จึงคาดว่า ดัชนีฯ ในวันนี้ มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลง มากน้อยขึ้นกับแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคาร อาจถูกถ่วงด้วยแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยเอง ที่เริ่มมีการออกมาปรับลดเป้า GDP ปี 2558 ลงจากที่เคยประมาณการกันไว้
กลยุทธ์การลงทุน เรามองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ในจังหวะที่ราคาอ่อนตัว เนื่องจากคาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นบวกหลังจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ออกมา (PTTGC, IRPC, IVL) และหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอื่นๆที่ยังดูเป็นบวก (TRUE, MINT, ADVANC , SAMTEL) กลุ่มที่มีรายได้ในประเทศ (BMCL , BIGC , HMPRO, GRAMMY)
Stock in Focus
SITHAI - (ราคาปิด 2.82 บาท ; ราคาเป้าหมายเฉลี่ย โดย IAA Consensus 3.40 บาท) ผลบวกจากราคาเม็ดพลาสติกซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทฯ ที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน (อ้างอิงจาก ราคาเม็ดพลาสติก HDPE ลดลงประมาณ 30% จากสิ้นงวดไตรมาสที่ 3/57) และผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ซึ่งจะดีช่วงไตรมาสที่ 4 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป จากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งคาดว่าจะต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรกของปีนี้ด้วย … นอกจากนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้สูงขึ้นจากการเปิดโรงงานแห่งใหม่ในประเทศเวียดนามและอินเดีย ในปี 2558 อีกด้วย … ด้านผลตอบแทนจากเงินปันผล พิจารณาจากกำไรงวด 9 เดือน ที่ออกมาสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 13% จะทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับหรือมากกว่าปีที่ผ่านมา ที่จ่ายในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น
มงคล พ่วงเภตรา
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
License No: 001937 Tel: 02-648-1123
และทีมวิเคราะห์