- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 05 February 2015 16:47
- Hits: 1657
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ผันผวนตามราคาน้ำมัน แต่เชื่อยังยืนเหนือ 50 เหรียญฯ/บาร์เรล ให้ถือ PTT/PTTEP/PTTGC วันนี้เลือก RCL([email protected]) เป็น Top pick ดัชนี Howe Robinson เพิ่ม 5.4% ใน 5 สัปดาห์ และราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าปี 2557 50% จะปรับเพิ่มกำไร+Fair Value ปี 2558
จีนตัดลด RRR หนุนสภาพคล่อง และตลาดหุ้นโลก
วานนี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราการเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.5% เหลือ 19.5% นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน พ.ค. 2555 และให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อเดือน พ.ย. 2557 เพิ่งประกาศลดดอกเบี้ยฯ ลง 0.4% เหลือ 5.6% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มชะลอตัว หลังจากที่ IMF คาดว่าเศรษฐกิจจีนในปี 2558 จะขยายตัวเหลือ 6.8% จาก 7.4% ในปี 2557 (ต่ำสุดในรอบ 24 ปี) รวมทั้งเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2557 จนล่าสุดเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 1.5% และเดือน ม.ค. 2558 น่าจะมีแนวโน้มลดต่ำลง และนักวิเคราะห์ยังคาดหมายว่า PBOC น่าจะลด RRR อีกอย่างน้อย 0.5% ในช่วง 1H58 หากเศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะชะลอตัว
การใช้มาตรการผ่อนคลายการเงินจากจีน เป็นการตอกย้ำว่าเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัว และสะท้อนหลายประเทศมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ได้แก่ ยุโรป เงินเฟ้อ เดือน ม.ค. คิดลบ 0.6% (ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่2) และ เช่นเดียวกับไทยที่เงินเฟ้อ เดือน ม.ค. ติดลบ 0.4% (เป็นครั้งแรกในรอบ 64 เดือน) ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลก เดินหน้าใช้มาตราการผ่อนคลายทางการเงินชัดเจนตั้งแต่ต้นเดือน ม.ค. 2558 เป็นต้นมา รายละเอียดดังปรากฏในตารางด้านล่าง นอกจากนี้บางประเทศ ได้ใช้มาตรการการเงินผ่อนคลาย ผ่านการปรับลดค่าเงิน เช่น ธนาคารกลางสิงคโปร์ ปรับเปลี่ยนกรอบการเคลื่อนไหวให้มีการยืดหยุ่นลดลง หรือ สวิตเซอร์แลนด์ ยกเลิกการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินสวิสฟรังก์กับยูโรที่ 1.2 ฟรังก์ต่อยูโร เพื่อลดความผันผวนจากอ่อนค่าของเงินยูโร หลังยุโรปทำ QE เป็นต้น การใช้มาตรการเงินผ่อนคลายทั่วโลกจะช่วยเพิ่ม money supply ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นในฐานะที่เป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวในช่วง 6-12 เดือนถัดมา
เชื่อว่าน้ำมันปรับฐานระยะสั้น หลายปัจจัยหนุนว่าผ่านจุดต่ำสุด
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกย่อตัวปรับฐานอีกครั้ง หลังจากปรับขึ้นแรงกว่า 20% ในรอบ 4 วันติดต่อกัน และน่าจะเป็นผลมาจากการรายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ สิ้นสุด 30 ม.ค. ซึ่งออกมามากกว่าคาด และ สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่บันทึกข้อมูลในเดือน ส.ค.2525 เป็นต้นมา กล่าวคือ สต็อกน้ำมันดิบล่าสุดอยู่ที่ 413.06 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นถึง 6.3 ล้านบาร์เรล (เทียบกับนักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรล) และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ขณะที่พบว่าสต็อกน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเช่นกัน คือ น้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล น้ำมันกลั่น รวมทั้ง Heating Oil และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.9%
อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นการปรับฐานระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันในเรื่องของปัญหาการประท้วงของคนงานในอุตสาหกรรมน้ำมัน/โรงกลั่นน้ำมัน/ปิโตรเคมี และ Supply Chain กว่า 63 แห่ง ของสหรัฐ ยังมีอยู่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 และกระทบกับกำลังการกลั่นน้ำมันกว่า 10% ของทั้งประเทศ รวมทั้งการลดเงินลงทุนสำรวจและผลิตน้ำมันของบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก อาทิ British Pitroleum (BP), Exxon Mobil Corp., Chevron Corp และการลดลงของจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมัน จึงเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยบั่นทอนทำให้ปริมาณผลิตน้ำมันดิบและสำเร็จรูปส่วนเกินค่อย ๆ ลดลง ขณะที่เชื่อว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (vs สกุลคู่ค้าหลัก 6 แห่ง) น่าจะทรงกับแกว่งตัวใสทิศทางอ่อนค่าลง (หลังจากที่แข็งค่ากว่า 18% นับจากเดือน ก.ค. 2557 จนถึงต้นปี 2558 ขณะที่ค่าเงินยูโรเริ่มฟื้นตัว หลังจากอ่อนค่ากว่า 18% นับจากลางปี 2557 ) ซึ่งน่าจะเป็นผลจากที่ตลาดคาดว่า FED น่าจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด
สถาบันสลับมาขายหนัก สวนทางกับต่างชาติที่ซื้อต่อเนื่อง
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เพิ่มขึ้น 41% จากวันก่อนหน้า อยู่ที่ 695 ล้านเหรียญฯ และเป็นการซื้อสุทธิในทุกประเทศ โดยยังคือซื้อสุทธิสูงสุดไต้หวัน และต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ราว 324 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 30% จากวันก่อนหน้า) ส่วนเกาหลีใต้สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 199 ล้านเหรียญฯ (ขายสุทธิติดต่อกัน 5 วันก่อนหน้า) ขณะที่ไทยซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 75 ล้านเหรียญฯ (2.4 พันล้านบาท, เพิ่มขึ้น 7% จากวันก่อนหน้า) ใกล้เคียงกับอินโดนีเซียที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4 และเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่าเท่าตัว อยู่ที่ 69 ล้านเหรียญฯ และสุดท้ายคือฟิลิปปินส์ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 แต่ลดลงถึง 84% เหลือ 28 ล้านเหรียญฯ
กระแสเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้ามาตลาดหุ้นภูมิภาค และตลาดหุ้นไทย ซึ่งพบว่าได้เข้าซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทย 9 จาก 11 วันหลังสุดรวมกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท สวนทางกับแรงขายจากทางฝั่งนักลงทุนสถาบันที่วานนี้ขายสุทธิออกมาราว 1.9 พันล้านบาท (ขายสุทธิ 6 จาก 8 วันหลังสุด รวมกว่า 7.6 พันล้านบาท) ซึ่งเชื่อว่าเป็นการขายของกอง LTF ที่ครบ 5 ปีปฏิทิน ซึ่งตามสถิติแล้ว มักขายสุทธิมากๆ ในเดือน ก.พ. ของทุกปี แต่อย่างไรก็ตามพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงมียอดซื้อสุทธิสะสม สูงถึง 9.1 พันล้านบาท
เตรียมปรับเพิ่มกำไร RCL….ดัชนี Howe Robinson ฟื้นตัวต่อเนื่อง
ล่าสุดพบว่าดัชนีค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ Howe Robinson Index (HRCI) (รายงานทุกวันพุธ) เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 1.78% มาอยู่ที่ 571 จุด ทำสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 (หรือเพิ่มขึ้น 5.4% จากยอดสะสมในช่วง 5 สัปดาห์ก่อนหน้า) ทั้งนี้แม้ว่า เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวล่าช้า แต่การขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นในการดำรงชีพยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ทำให้มีความต้องการใช้เรือคอนเทนเนอร์ ซึ่งใช้ขนส่งสินค้าดังกล่าว เป็นหลัก เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้คาดว่า รายได้ค่าระวางเรือเฉลี่ยต่อตู้ของ RCL มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่งวด 1Q58 บวกกับ RCL ยังได้รับอานิสงค์ที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้ลดลงจากปี ก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ แม้ขณะนี้ราคาน้ำมันจะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ 43-44 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขึ้นมาที่ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรลแต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยใน 1Q57 กว่า 50% เนื่องจากต้นทุนหลักสัดส่วนราว 20%-30% คือต้นทุนน้ำมัน ขณะที่ RCL มีการทำสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้าไว้เพียง 25% และทยอยเพิ่มสัดส่วนสัญญาซื้อน้ำมันล่วงหน้าในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกต่ำมาก ช่วยให้ประสิทธิภาพการทำทำกำไรดีขึ้นชัดเจน
นอกจากนี้ ในปีนี้ RCL มีแผนเชิงรุกตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขนส่งขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 5% ด้วยปัจจัยหนุนดังกล่าว ทำให้ฝ่ายวิจัยมีแนวโน้มทบทวนปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ RCL หลังประกาศงบงวด 4Q57 อีกทั้ง ณ ราคาปัจจุบัน RCL ยังมี PBV อยู่ที่ 0.77 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มฯที่ 1.21 เท่า และยังมี ROE สูงเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มที่ 7.7% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” RCL(FV@B 11.8) มี Upside 30.3% และเลือกเป็น Top Pick กลุ่มฯ
ภรณี ทองเย็น, CISA
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล