- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 04 February 2015 18:44
- Hits: 1654
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นแข็งแกร่ง (+19.84 จุด ปิดที่ 1602.54 จุด) เฉพาะ PTT, PTTEP, BAY, KBANK, SCBและ PTTGC นำตลาดขึ้นรวมกันถึง 13.72 จุด ปัจจัยหนุน คือ กระแสคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบถึงจุดต่ำสุดแล้ว และมีโอกาสปรับขึ้นในระยะต่อไปนอกจากนั้นแรงซื้อหุ้นกลุ่มหลัก คือ ธนาคาร (คาดว่าสินเชื่อปีนี้จะเติบโตดีขึ้น), สื่อสาร (มีประมูล 4G และงานวางระบบเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งจ่ายปันผลสูง) ช่วยหนุนด้วย ทั้งนี้ SETHD ปรับขึ้น Outperform SET50, SET100 และ MAI นักลงทุนต่างชาติพลิกเป็นซื้อสุทธิ 2.2 พันล้านบาท สถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิกลุ่มละ 900 กว่าล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ 4.1 พันล้านบาท
สำหรับวันนี้ Sentiment เป็นบวก โดยความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาหนี้กรีซผ่อนคลายลง หลังรัฐบาลใหม่กรีซมีท่าทีอ่อนลงและไม่มีการยื่นข้อเสนอลดหนี้ (Hair Cut) กับ ECB และเจ้าหนี้ประเทศอื่นๆ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงยังเป็นบวกกับหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งเราได้แนะนำให้เพิ่มพอร์ตลงทุนในกลุ่มโรงกลั่นและ PTT ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน สำหรับพอร์ตเล่นสั้น ระยะสั้นแนะนำให้แบ่งขายทำกำไรในจังหวะที่ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงไปบางส่วนและถือลุ้นต่ออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งหากให้ SET Index เป็น Benchmark ก็ต้องดูฟิวเตอร์ 1600 กับ 1620 จุด (ยืนเหนือ 1600 ได้มีลุ้น 1620 ถ้ายืนไม่ได้แล้วลงมาต่ำกว่า 1580 ควร Stop Loss, ถ้ายืนเหนือ 1620 ได้ก็มีสิทธิเห็น 1650 แต่ถ้ายืนไม่ได้ก็ขายออกไปก่อน) สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น KTBการวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกที่พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ เพราะภาวะ Overbought + Divergence กดดัน โดยดัชนีมีโอกาสปรับขึ้นต่อก่อน แล้วค่อยตามมาด้วยการอ่อนตัว แนวต้าน 1610-1620 ค่าลบควรลดพอร์ตตาม หลุด 1580 Stop Loss การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ในทางเทคนิค พบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ CSS, IRPC,PRECHA, PERM, SF ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ PACE, SC, PS, TIPCO หุ้นที่หลุด List คือ –ไม่มี- สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าพิจารณา Take Profit ตามรอบ คือ UNIQ, JMART, ROJNA, SAMART
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ กรีซ : รัฐบาลใหม่มีท่าทีอ่อนลงในการเจรจาประนอมหนี้ โดยไม่ขอลดหนี้ (Hair Cut) แต่ใช้วิธีขอปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ โดยแลกเปลี่ยนจากพันธบัตรรัฐบาลกรีซที่ ECB และรัฐบาลประเทศอื่นถือครองเป็นพันธบัตรที่มีอัตราผลตอบแทนอิงกับการขยายตัวของเศรษฐกิจและ Perpetual Bondที่จะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อมีกำไรและไม่สะสมดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งก็สอดคล้องกับที่เราคาดการณ์ไว้ว่ากรีซน่าจะต่อรองได้แค่การยืดหนี้และ/หรือลดดอกเบี้ยแต่ไม่สามารถขอลดมูลหนี้ได้
• ยูโรโซน : แรงกดดันด้านราคาผู้ผลิตต่ำลง ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI)ภาคอุตสาหกรรมของทั้งยูโรโซนและ EU ร่วงลง 1%MoM ในเดือนธ.ค.57และเมื่อเทียบปีต่อปีพบว่าของยูโรโซนดิ่งลง 2.7%YoY ส่วนของ EU ร่วงลง3.1%YoY โดยส่วนใหญ่เกิดจากการทรุดตัวลงกว่า 3% ของราคาพลังงานสำหรับทั้งปี 2557 ดัชนี PPI ลดลง 1.5%YoY ทั้งในยูโรโซนและ EU
- สหรัฐ : ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.57 ลดลงต่อเป็นเดือนที่ 5โดย -3.4% จับตาดัชนี PMI ภาคบริการเดือนม.ค.58 ของสหรัฐ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้น...หนุนโดยหุ้นพลังงาน & สถานการณ์ประนอมหนี้ของกรีซที่ไม่รุนแรง ดัชนี DJIA ปิดที่ 17,666.40 จุด ปรับขึ้น 305.36 จุด หรือ +1.76% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 29.18 จุด หรือ+1.44% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,727.74 จุด เพิ่มขึ้น 51.05 จุด หรือ+1.09% หนุนโดยหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และท่าทีของรัฐบาลกรีซที่อ่อนลงในการเจรจาประนอมหนี้กับ ECB และรัฐบาลประเทศต่างๆ
+ สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแรง โดย WTI ส่งมอบมี.ค. +3.48 ดอลลาร์ ปิดที่ 53.05 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT +3.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 57.91ดอลลาร์/บาร์เรล บริษัทผู้ผลิตน้ำมันต่างๆ ประกาศลดค่าใช้จ่ายลงทุน เช่นBP ลดการลงทุนปีนี้ลง 13% เป็น 3.5 หมื่นล้านUS$, Exxon ลดลง 4%เป็นต่ำกว่า 3.7 หมื่นล้านUS$, Chevron ลด 13% เป็น 3.5 หมื่นล้านUS$,Shell ลดงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านUS$ ใน 3 ปีข้างหน้า เป็นต้น ทำให้แรงกดดันด้านอุปทานน้อยลง
- สัญญาทองคำร่วง 1.3% โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 16.6 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,260.30 ดอลลาร์/ออนซ์เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับกรีซผ่อนคลายลง
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• บอร์ด PTT มีมติขายหุ้น BCP 15% ให้กองทุนวายุภักษ์ ส่วนอีก12% เจรจาขายให้กับผู้สนใจรายอื่น โดยคาดว่าจะได้เงินจากการขายหุ้นครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท และจะสรุปการขายหุ้น BCP ทั้งหมดภายใน 1Q58
ความเห็น Retail Research : ปัจจุบัน PTT ถือหุ้น BCP เท่ากับ 374.75ล้านหุ้น (27.22%) โดยต้นทุนหุ้นที่ PTT ถือใน BCP ตามวิธีส่วนได้เสีย ณสิ้นก.ย.57 อยู่ที่ 26.59 บาท/หุ้น ถ้าเทียบกับมูลค่าขาย 1 หมื่นล้านบาทก็มีกำไรน้อยมาก เราคาดว่ามูลค่าขายน่าจะอยู่ที่ 1.2-1.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งPTT จะมีกำไรหลังภาษีเท่ากับ 0.57-0.85 บาท/หุ้น คิดเป็น 1.8-2.7% ของEPS – PTT ในปี 2558F สำหรับผู้สนใจซื้อหุ้น BCP จาก PTT ขณะนี้มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่ม TTA, กลุ่มอดีตผู้บริหาร & พนักงานบางจาก (นิโด้)เป็นต้น ยังคงคำแนะนำซื้อ PTT (ราคาพื้นฐาน 380 บาท) โดยระยะสั้นมากมีปัจจัยกระตุ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ดีดขึ้นแรงด้วย
กำไรของ PTT จากการขายหุ้น BCP ในระดับราคาต่างๆ
ต้นทุน ราคาขาย มูลค่าขาย กำไรหลังภาษี กำไรหลังภาษี กำไรหลังภาษีบาท/หุ้น บาท/หุ้น ล้านบาท ล้านบาท ต่อหุ้น PTT ต่อ EPS - PTT
26.59 26.68 10,000 28 0.01 0.0%
26.59 29.35 11,000 828 0.29 0.9%
26.59 32.02 12,000 1,628 0.57 1.8%
26.59 34.69 13,000 2,428 0.85 2.7%
26.59 37.36 14,000 3,228 1.13 3.6%
26.59 40.03 15,000 4,028 1.41 4.5%
ที่มา : SET, DBS Vickers
+ AAV ไม่หวั่นราคาน้ำมันปรับขึ้นเพราะกลับไปทำประกันความเสี่ยงเพิ่มเป็น 50% ของน้ำมันที่จะใช้ใน 6 เดือนข้างหน้าในช่วงที่ราคาน้ำมันลงมาต่ำมากแล้ว ทำให้ต้นทุนน้ำมัน Jet ที่จะใช้อยู่ที่ 60 US$/bblต่ำกว่าราคาปัจจุบันที่ราว 70-75 US$/bbl
ความเห็น Retail Research : นับว่าบริษัทมีการปรับแผนกลยุทธ์ได้ดี โดยในช่วงราคาน้ำมันกำลังลดลงบริษัททำประกันความเสี่ยงไว้ที่ 10-15% ทำให้ต้นทุนน้ำมัน (คิดเป็น 35% ของต้นทุนรวม) ลดลง และเมื่อราคาน้ำมันลงมาถึงจุดที่น่าจะต่ำสุดแล้วก็ทำประกันความเสี่ยงเพิ่มเป็น 50% ทำให้มีต้นทุนน้ำมันที่ต่ำต่อไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน (ซึ่งการทำประกันความเสี่ยงรอบนี้ถือเป็นกรณีพิเศษ เพราะโดยนโยบายแล้วจะทำประกันความเสี่ยงไม่เกิน 30%) เรายังชอบ AAV และให้เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มสายการบินเนื่องจากธุรกิจอยู่ในช่วง Turnaround และต้นทุนน้ำมันที่ลดลงทำให้ผลประกอบการปี 2558 จะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ให้ราคาพื้นฐาน 5.70 บาท
+ ครม.อนุมัติปรับเพิ่มวงเงินรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตวงเงิน 8,140 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอมา โดยเป็นของสัญญาที่ 1 (ผู้รับเหมาคือ STEC+UNIQ) 4,315 ล้านบาท ที่เหลือเป็นของสัญญาที่ 2 และ 3 จำนวน 3,352 และ 473 ล้านบาท ตามลำดับ
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]