- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 30 January 2015 17:55
- Hits: 2384
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือตามด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ปิด -6.41 จุด ที่ 1586.40 เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อ แต่น้อยลงเป็น 900 กว่าล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 1 พันล้านบาท ส่วนสถาบันในประเทศและรายย่อยขายสุทธิ
สำหรับวันนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งและการดีดขึ้นแรงของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเชีย นอกเหนือจากการเก็งกำไรผลประกอบการไตรมาส 4/57 และแนวโน้มของปี 2558 ซึ่งเราประเมินว่าจะดีขึ้นจากปีก่อน (อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีผลขาดทุนจากสต็อกของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจำนวนมากเหมือนในไตรมาส 4/57) กลุ่มหุ้นที่เราเห็นว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในปีนี้ คือ กลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง, สื่อสาร & โทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ หุ้นเด่น คือ CK, TRC, SCC, INTUCH, THCOM, BBL, KTB, KBANK กลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว หุ้นเด่น คือ AAV, MINT และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันลง หุ้นเด่น คือ AAV, TASCO ถ้ามีหุ้นต้นทุนต่ำก็ยังแนะนำถือลงทุนต่อ และการอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นจังหวะทยอยซื้อลงทุน สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น CK โดยคาดว่าการปรับโครงสร้างในกลุ่มเป็นบวกกับบริษัทและทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบเล็กๆ แต่ยังมีลุ้นรีบาวด์ก่อนลงต่ำต่อ แนวต้าน 1600, 1610-1620 ค่าลบควรลดพอร์ตตามหลุด 1560 Stop Loss การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New Highในทางเทคนิค พบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ SC, MINT ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ UNIQ, PACE หุ้นที่หลุด List คือ LHBANK สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าพิจารณา Take Profit ตามรอบ คือ NOK, THANI, IRCP
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานแข็งแกร่ง จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 24 ม.ค. ลดลง 43,000 รายแตะ 265,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.43
• ค่าเงิน US$ ยังอยู่ในแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลหลักของโลกเห็นได้จากดัชนี ICE US Dollar Cash Index ที่มีโอกาสขยับขึ้นต่อไปทดสอบระดับ 101 จากปัจจุบันที่ 94.7 ปัจจัยหนุนหลัก คือ การเติบโตของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2558
+ ตลาดหุ้นสหรัฐเด้งกลับ ดัชนี DJIA พุ่งขึ้น 225.48 จุด หรือ +1.31%ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 45.42 จุด หรือ +0.98% และดัชนี S&P500เพิ่มขึ้น 19.09 จุด หรือ +0.95% ปัจจัยหนุน คือ ตัวเลขภาคแรงงานที่แข็งแกร่ง และตอบรับมุมมองที่ดีขึ้นของเฟดต่อเศรษฐกิจสหรัฐโดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่ง (จากขยายตัวปานกลางในปี 2557)
+ สัญญาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ ปิด 44.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เพิ่ม66 เซนต์ ปิดที่ 49.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.58 ดิ่งลง 31.3 ดอลลาร์หรือ 2.43% ปิดที่ระดับ 1,255.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• สศค.ปรับลด GDP Growth ปี 2558 ของไทยลงเป็น 3.9% เดิม4.1% สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้าและอ่อนกว่าคาด ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย สงครามค่าเงิน และราคาสินค้าเกษตรที่ซบเซา
ความเห็น Retail Research : การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี2558 ของสศค.คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์กันในตลาดอยู่แล้วว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโตต่ำกว่า 4%(ทาง DBS Bank คาดการณ์ไว้ที่ 3.8%) อย่างไรก็ตาม ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังคงมีกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวในปีนี้ เช่นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐ & เอกชนที่ประมาณการว่าจะเติบโตในอัตราที่ดีขึ้น การฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว และกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง
# กลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุน ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง,สื่อสาร & โทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ หุ้นเด่น คือ CK,TRC, SCC, INTUCH, THCOM, BBL, KTB, KBANK
# กลุ่มที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว หุ้นเด่น คือ AAV, MINT
# กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันลง หุ้นเด่น คือ AAV, TASCO
• กลุ่มพลังงาน : ในเชิงกลยุทธ์เห็นว่าหุ้นโรงกลั่นน่าสนใจ แต่หุ้นสำรวจและผลิตก๊าซ & น้ำมันยังมีแนวโน้มซบเซา เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงมามากถึง 60% ในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาได้สอดรับกับอุปทานน้ำมันที่สูงขึ้นไปพอควรแล้ว และคาดว่า Downside Risk ของราคาน้ำมันจะน้อยลง ซึ่งทำให้ผลขาดทุนจากสต็อกของโรงกลั่นจะจำกัดตามไปด้วย บ่งชี้ว่าผลขาดทุนจากสต็อกน่าจะถึงจุดที่แย่ที่สุดไปแล้วใน 4Q57และมีขาดทุนต่อเนื่องอีกบางส่วนแต่ไม่รุนแรงมากใน 1Q58 แล้วรายการความเสี่ยงนี้จะจำกัดมากๆ ใน 2Q-4Q58 ขณะที่ผลประกอบการปกติของกลุ่มโรงกลั่นจะดีขึ้น เนื่องจากมูลค่าของ Yield Loss น้อยลงไปประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบบนฐานใหม่ที่ประมาณ 50+/-US$/bbl รวมทั้ง Crude Premium ก็ต่ำลงด้วย เราคาดว่าหุ้นโรงกลั่นจะTurnaround ได้ในปี 2558 หุ้นเด่น คือ PTT, TOP รองลงมาเป็น BCP,PTTGC, IRPC สำหรับหุ้นสำรวจและผลิตอย่าง PTTEP เรามีมุมมองที่อ่อนกว่ากลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากผลประกอบการที่ยังซบเซาตามราคาก๊าซที่ทยอยลดลงและการทบทวนการลงทุนใหม่ ซึ่งทำให้มูลค่าเพิ่มในระยะยาวจะต่ำลง และแม้ว่าจะมีข้อดีจากโอกาสในการเข้าซื้อกิจการในราคาที่ต่ำลงแต่ยังไม่สามารถชดเชยกับการด้อยค่าของมูลค่าโครงการที่มีอยู่ได้ จึงทำให้มูลค่าหุ้นที่คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันยังต่ำ โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ประเมินราคาพื้นฐาน PTTEP ไว้ที่ 109 บาท (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน CompanyFocus วันนี้)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]