WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

“เลือกซื้อ/ถือต่อด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
    ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นวานนี้ปรับขึ้นแรง โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานที่ได้รับประโยชน์จากการรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบ และSentiment ตลาดรวมที่เป็นบวกจากการคาดการณ์ว่า ECB จะออก QE ในการประชุมวันที่ 22 ม.ค.นี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศและพอร์ตบล.นำซื้อสุทธิ ส่วนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิ

    Sentiment ตลาดหุ้นภูมิภาคที่เป็นบวกด้วยความหวังว่า ECB จะประกาศใช้ QE ในการประชุมวันพฤหัสฯ นี้ รวมถึงการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการบรัทจดทะเบียนยังเป็นปัจจัยหนุนตลาด แต่อาจจะตามมาด้วยความผันผวนที่มากขึ้น เพราะบางกลุ่มมองว่า QE ของยูโรโซนจะมีประสิทธิผลน้อยกว่า QEสหรัฐหลายเท่า เนื่องจากเนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการคลังของประเทศสมาชิกที่แตกต่างกัน และเยอรมนีซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการออก QE เพราะมองว่าจะทำให้ประเทศต่างๆไม่เร่งการปฏิรูปอย่างจริงจัง และจะอาศัยการพิมพ์เงินออกมาแก้ปัญหามากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลลบมากในระยะยาว ในเชิงกลยุทธ์ การเข้าซื้อใหม่ยังเน้นซื้อตามด้วยค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น การอ่อนตัวต่ำกว่า 1525 เริ่มดูไม่ค่อยดี และถ้าหลุด 1520 ลงมาควรมี Stop loss สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น SYNTEC

     การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวก แต่ก็พร้อมเปลี่ยนเป็นลบในระยะต่อไป แนวต้านระยะสั้นมาก 1540-1550 ค่าลบควรลดพอร์ตตาม การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ในทางเทคนิคพบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ TPOLY, INTUCH, IFEC ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ ITD, CSS, M, PRINC, SGP หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- และหุ้นแนะนำที่ปรับขึ้นมาแล้วและอยู่ในพื้นที่น่า Take Profit ตามรอบ คือ BMCL, ROJNA, PM

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
•/+ ยูโรโซน : ผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB ทำ QE ราว5.0-6.0 แสนล้านยูโร ในการประชุม 22 ม.ค.58 ซึ่งเป็นวงเงินที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้เพื่อให้ยูโรโซนหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืด อย่างไรก็ตามถ้าผลประชุมของ ECB ออกมาในลักษณะเดิม คือ เพียงระบุว่าจะขยายงบดุลในอนาคตเมื่อจำเป็น ก็อาจทำให้ตลาดผิดหวังและเกิดแรงขายหุ้นในระยะสั้นได้

• ยูโรโซน : นักเศรษฐศาสตร์บางรายประเมินว่า QE ยูโรโซนจะมีประสิทธิผลน้อยกว่า QE สหรัฐหลายเท่า เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจและระบบการคลังของประเทศสมาชิกที่แตกต่างกัน ซึ่งทาง ECB กำลังพิจารณาการใช้ QE แบบลูกผสม คือ ECB เข้าซื้อตราสารหนี้ที่กระจายอยู่ในยูโรโซน และให้ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เข้าซื้อพันธบัตรด้วย เพื่อบรรเทาความวิตกของเยอรมนีต่อการใช้มาตรการนี้(เยอรมนีกังวลว่าการออก QE จะทำให้ต้องรับภาระความเสี่ยงของประเทศสมาชิกอื่นเข้ามา และทำให้ประเทศต่างๆ ไม่ยอมปฎิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง และจะใช้วิธีพิมพ์เงินออกมาเพื่อแก้ปัญหาแทน)

• ยูโรโซน : จับตาผลเลือกตั้งกรีซวันที่ 25 ม.ค.58 ว่าพรรคที่ชนะการเลือกตั้งจะเป็นไซรีซาที่ต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นและพรรคเดินหน้านโยบายดังกล่าวก็อาจทำให้กรีซต้องออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน

•/- รัสเซีย : กระทรวงการคลังรัสเซียเตรียมนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศแลกเป็นเงินรูเบิลและอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีมูลค่า 5 แสนล้านรูเบิล หรือราว 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการพยุงค่าเงินและเศรษฐกิจวิธีนี้อาจทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อรัสเซียลดลง และอันดับเครดิตมีโอกาสลดลงต่ำกว่าระดับ InvestmentGrade ทั้งนี้รัสเซียมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ราว 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

• ตลาดหุ้นและโภคภัณฑ์สหรัฐปิดทำการวันที่ 19 ม.ค.58 เนื่องในวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ส่วนดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สแกว่งในกรอบแคบด้านราคาน้ำมันดิบฟิวเจอร์สลดลงเล็กน้อยราว 0.2%

• น้ำมันดิบ : ซาอุดิอาระเบียยืนยันใช้กลยุทธ์รักษาส่วนแบ่งการตลาดน้ำมัน (ไม่ลดการผลิต) โดยกล่าวว่าสามารถรับมือกับราคาน้ำมันที่ต่ำได้อีกอย่างน้อย 8 ปี ซึ่งนโยบายนี้ก็เพื่อดันให้ผู้ผลิตรายเล็กออกจากตลาด ทั้งนี้รัฐบาลซาอุฯกำลังปรับลดรายจ่ายภาครัฐเพื่อประคองเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพในช่วงราคาน้ำมันตกต่ำ

ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
+ เชื่อเศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโต 5-6% ได้ในระยะยาว ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลตั้งความหวังสูงมากที่จะให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาค (International TradingCenter) ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคตเพราะประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านสินค้าอุปโภคบริโภคเหนือคู่แข่งในภูมิภาคนี้ ซึ่งหากดำเนินการเรื่องนี้ได้สำเร็จจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยกลับมามีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5-6% จากที่ขยายตัวที่ 3-4% ในปี 2558

+ราคาสินค้าในภาคก่อสร้างลดลงตามราคาน้ำมันแล้ว อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่าขณะนี้ผู้ผลิตสินค้า 5 รายการ ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่นเม็ดพลาสติก ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา และเหล็กเส้น เหล็กแผ่นเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ได้ทำการปรับลดราคาสินค้าลงมาแล้วหลังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันดีเซลที่ลดลง 4.50 บาท/ลิตร หรือลดลง 15% ส่งผลให้ต้นทุนด้านค่าขนส่งลดลง

ความเห็น : นับเป็นบวกกับกลุ่มผู้รับเหมา โดยคาดว่าจะมาร์จิ้นดีขึ้นเพราะต้นทุนวัสดุก่อสร้างและค่าขนส่งลดลง ขณะเดียวกันก็มีงานใหม่เข้ามาต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว หุ้นเด่น คือ CK, STEC, SEAFCO,SYNTEC

+ กสทช.ชงเรื่องให้รัฐบาลนำสายโทรคมนาคมลงใต้ดิน นายฐากรตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการกสทช. เปิดเผยว่ามีแผนเสนอต่อคสช.และรัฐบาลให้นำสายโทรคมนาคม ทั้งสายอินเทอร์เน็ต สายเคเบิลทีวี ลงใต้ดิน เพราะกำลังเกิดปัญหาการขยายและเดินสายโทรคมนาคม เช่น สายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต และเคเบิลทีวี โดยเสาไฟฟ้าที่ให้บริการไม่สามารถรับน้ำหนักเพิ่มได้อีก

•/+ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ทยอยรายงานกำไรสุทธิ 4Q57 และปี2557 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไปตามคาด ยกเว้น TMB ที่มีกำไรสุทธิสูงกว่าที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ (+66%YoY เป็น 9.5 พันล้านบาท) โดยสินเชื่อขยายตัว 7% เงินฝากเติบโต 8% มี NPL Ratio ลดลงเป็น 2.85% ในสิ้นปี 57 จาก 3.87% ในสิ้นปีก่อนหน้า และมี NPL Coverage Ratio เพิ่มสู่157% ในสิ้นปี 2557 ด้าน ROE ของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 14.7% เราคาดว่าธนาคารจะยังเติบโตได้ดีต่อเนื่องในปี 58 โดยปีนี้จะเน้นปล่อยสินเชื่อ SMEที่เป็น High Yield มากขึ้น ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงให้ TMB เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มธนาคารขนาดกลาง-เล็ก ประเมินราคาพื้นฐานไว้ที่ 3.60 บาท

• SYNTEC : คาด 4Q57 มีกำไร 102 ล้านบาทและทั้งปี 2557 ทำกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 371 ล้านบาท (+360%YoY) เนื่องจากรายได้ก่อสร้างเพิ่ม 7% อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 12.2% (จาก 8.2% ในปี56) และมีกำไรจากการขายหุ้น BMCL & กลับสำรองฯเป็นรายได้ 43 ล้านบาท แนวโน้มปี 58 ยังไปได้ดี ทั้งการรับรู้รายได้และมาร์จิ้นที่คาดว่าจะยังรักษาไว้ที่ระดับ 12-13% ได้ บริษัทมีเงินลงทุนใน BMCL เหลืออยู่ 255ล้านหุ้น ซึ่งมี Unrealized gain กว่า 200 ล้านบาท แนะนำซื้อ SYNTECโดยให้ราคาพื้นฐาน 3.57 บาท (ราคาปิด 2.98 บาท)

นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!