- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 19 January 2015 16:25
- Hits: 3115
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือตามค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : RML (ปรับจากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นวันศุกร์ปิดที่ 1,517.74 จุด ลดลง 5.64 จุด โดยกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและพอร์ตบล.นำขายสุทธิ ทั้งนี้การซื้อขายในวันยังแกว่งตัว ซึ่งเป็นผลจากความผันผวนของค่าเงินหลังจากธนาคารกลางสวิสยกเลิกการผูกติดค่าเงินฟรังก์กับยูโรที่ 1.2 สวิสฟรังก์/ยูโร และปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็น -0.75% (เดิม -0.25%) ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างแรง และ Bond Yield ในยุโรปร่วงลงอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันก็คาดการณ์ว่า ECB อาจจะประกาศใช้มาตรการ QE เต็มรูปแบบในการประชุม 22 ม.ค.นี้ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจซบเซาและหลีกเลี่ยงภาวะเงินฝืดในภูมิภาค
สำหรับ สัปดาห์นี้ ปัจจัยที่จับตาคือ ผลประชุม ECB ว่าจะมีการประกาศใช้ QE อย่างที่ตลาดคาดการณ์กันหรือไม่, ทิศทางค่าเงินยูโรต่อดอลลาร์สหรัฐ,ราคาน้ำมันดิบ และตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำต่างๆ ส่วนในประเทศ มีการทำ Preview ผลประกอบการไตรมาส 4/57 และประมาณการกำไรปี58 ซึ่งจะมีการเก็งกำไรในประเด็นนี้กัน รวมถึงการซื้อดักหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผลสูง (ดูรายละเอียดหุ้นปันผลสูงที่น่าสนใจในแต่ละ Sector ในหน้าที่ 3ของ Report วันนี้) นอกจากนั้นมีประเด็นบวกจากการที่รัฐบาลเร่งใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้น ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบมากขึ้นตั้งแต่ 1Q58 เป็นต้นไป (ทั้งเม็ดเงินจากการลงทุนในโครงการต่างๆ และการจ่ายชดเชยให้กับเกษตรกรชาวนา & สวนยางพารา) รวมถึงราคาน้ำมันค้าปลีกที่ต่ำลงก็ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้กระเตื้องขึ้นได้ในระดับหนึ่ง สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น SEAFCO ซึ่งมีการเติบโตที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 58 และจ่ายปันผลสูง
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ แต่ถ้ามีรีบาวด์ก่อนจะมีแนวต้าน 1530-1540 หรือ 1550 จุด ค่าลบควรลดพอร์ตตาม การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ในทางเทคนิค พบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ SGP, ROJNA, PM ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ BMCL, ITD, CSS, M, PRINC หุ้นที่หลุด List -ไม่มี- และหุ้นแนะนำที่ปรับขึ้นมาแล้วและอยู่ในพื้นที่น่า Take Profit ตามรอบ คือ VIBHA, CWT
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• ยูโรโซน : จับตาดูการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) วันที่22 ม.ค.58 & ผลเลือกตั้งกรีซ 25 ม.ค. หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่าการประกาศยกเลิกเพดานการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินของธนาคารกลางสวิสเมื่อสัปดาห์ก่อน อาจจะทำให้ ECB ตัดสินใจประกาศโครงการซื้อตราสารหนี้รัฐบาล (QE) ในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนนั้นยังต้องติดตามผลการเลือกตั้งกรีซวันที่ 25 ม.ค.58 ว่าพรรคไซรีซาที่ต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดจะได้รับชัยชนะตามโพลล์ที่ออกมาหรือไม่
- จีน : ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจีนซบเซาอย่างต่อเนื่อง สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนรายงานว่า ผลการสำรวจเมืองขนาดใหญ่และกลางจำนวน70 เมือง พบว่าราคาบ้านใหม่ในเมือง 66 แห่ง มีการอ่อนตัวลงในช่วงเดือนธ.ค.57 (เมื่อเทียบ MoM) และราคาบ้านใหม่ของ 68 เมืองลดลงเมื่อเทียบYoY บ่งชี้ว่าภาคที่อยู่อาศัยของจีนยังคงอ่อนแอ และมีความเป็นไปได้ที่ทางการจีนจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นอีกรอบในปี 2558
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.58 สูงสุดในรอบ 11ปี โดยดีดขึ้นสู่ 98.2 ในช่วงต้นเดือนม.ค.58
+ สหรัฐ : อัตราเงินเฟ้อติดลบ...หนุนเฟดยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วทั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค.58 ร่วงลง 0.4% ในเดือนธ.ค.57ซึ่งลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.51 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่ติดลบช่วยหนุนการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน โดยประธานเฟดบางท่านประเมินว่าสหรัฐอาจเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปเป็นปี 59
+ ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นกว่า 1% โดยดัชนี DJIA ปิด +190.86 จุด ดัชนีNASDAQ ปิด +63.56 จุด ดัชนี S&P500 +26.75 จุด โดยมีแรงหนุนจากผลประกอบการของโกลด์แมน แซคส์ที่ดีกว่าคาด และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.58 ของสหรัฐออกมาแข็งแกร่ง รวมทั้งการรีบาวด์ของราคาน้ำมันดิบหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานด้วย
+ IEA ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปคลง 350,000 บาร์เรล/วัน เนื่องจากผลผลิตของประเทศโคลัมเบียที่ลดลง IEA คาดว่าอุปทานนอกโอเปคที่น้อยลงจะช่วยให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกกลับสู่ภาวะสมดุลได้ใน 2H58 และราคาน้ำมันจะฟื้นตัวดีขึ้นด้าน EIA คาดว่าราคาน้ำมันดิบ BRENT จะอยู่ที่ 58 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี58 และ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล ในปี 59 และ WTI จะต่ำกว่า BRENTประมาณ 3-4 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐปี 58 เฉลี่ยจะอยู่ที่ 9.3 ล้านบาร์เรล/วัน (ธ.ค.57 ผลิตที่ 9.2 ล้านบาร์เรล/วัน)
+ สัญญาน้ำมันดิบเด้งขึ้น สำหรับ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 2.44ดอลลาร์ ปิดที่ 48.69 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์(BRENT) พุ่งขึ้น 1.9 ดอลลาร์ ปิดที่ 50.17 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ สัญญาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่อง..แต่ระยะสั้นมากควรระวังการขายทำกำไร สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 12.1 ดอลลาร์ หรือ 0.96% ปิดที่ 1,276.9 ดอลลาร์/ออนซ์
- IMF มองราคาน้ำมันลดอาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่าการลดลงของราคาน้ำมันดิบและเศรษฐกิจสหรัฐที่เติบโตดีขึ้น อาจไม่เพียงพอทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปีนี้
ความเห็น Retail Research : เราเห็นภาพเศรษฐกิจโลกในแนวทางเดียวกับ IMF โดยประเมินว่ากำลังซื้อของหลายประเทศที่ลดลงมากจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้ไม่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ต่ำลงอย่างเต็มที่ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำหรือติดลบ และอัตราค่าแรงงานที่มีแนวโน้มอ่อนลงทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่าช้า โดยเฉพาะในยูโรโซนและญี่ปุ่นความผันผวนของค่าเงินและเงินทุนเคลื่อนย้ายก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันการเติบโต แนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐทำให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนสหรัฐในต่างประเทศจะลดลง ทำให้กองทุนเหล่านี้จะมีการปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการลดสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศไปบ้างแล้ว สำหรับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสะสม 2.5 แสนล้านบาทนับตั้งแต่ม.ค.2555 ถึงปัจจุบัน แต่ยังเป็นซื้อสะสมราว 4.0 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2548-ปัจจุบัน
สำหรับ เศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่าจะเติบโต 3.8% โดยในช่วง 2H58จะดีกว่าเนื่องจากเม็ดเงินใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐที่เริ่มเข้าสู่ระบบตั้งแต่ต้นปี การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนที่ค่อยๆฟื้นตัว ก่อให้เกิดกิจกรรรมทางเศรษฐกิจและการหมุนเวียนของเม็ดเงินที่ดีขึ้น ส่วนภาคส่งออกที่อิงกับเศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มว่าจะเติบโตไม่มาก เพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร & เยน ที่เป็นตลาดส่งออกหลักรวมกันราว 20% ของมูลค่าส่งออกของไทย ถึงแม้ว่าบาทที่อ่อนเทียบกับดอลลาร์สหรัฐจะช่วยหนุนแต่คาดว่าจะชดเชยไม่ได้ทั้งหมด รวมทั้งกำลังซื้อในตลาดโลกก็เพิ่มขึ้นไม่มากซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย
กลยุทธ์การลงทุน ยังคงเป็น Selective Buy โดยหุ้นเด่นของเดือนม.ค.2558 เป็น AP, CK, INTUCH, KTB, MINT และหุ้น Dark Horse คือSAMTEL, KGI
โครงสร้างส่งออกของไทย แยกตามรายประเทศ
Export Value (US$m) Proportion
ASIAN 59,309 26%
China 27,233 12%
Japan 22,235 10%
US 22,953 10%
EU (28) 22,430 10%
Hong Kong 13,189 6%
Middle East 11,715 5%
Australia 10,349 5%
Others 39,091 17%
Total 228,505 100%
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, DBS Vickers
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
+ หุ้นปันผลสูงเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจทยอยซื้อลงทุน เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลรายงานผลประกอบการ 4Q57 และปี 2557 ประกอบกับตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอก ซึ่งหุ้นที่จ่ายปันผลสูงโดดเด่นในกลุ่มต่างๆ มีดังนี้
# กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : ธนาคารขนาดใหญ่เป็น KTB (Yield 4%),ธนาคารขนาดเล็กเป็น TCAP (5%), TISCO (5%)
# กลุ่มค้าปลีก : MC (5%)
# กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : DCC (6%), SCC (3.5-4.0%)
# กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : SRICHA (7-8%), SEAFCO (5%)
# กลุ่มพลังงาน : BCP (5%), TTW (5%)
# กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ : DELTA (4%), KCE (4%), HANA (4%)
# กลุ่มอาหาร : TVO (5-6%)
# กลุ่มสื่อสาร : INTUCH (6%), ADVANC (5.5%), DTAC (5.5%)
# กลุ่มปิโตรเคมี : PTTGC (4.5%)
# กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ : MK (7%), LALIN 6%), SIRI (6%), AP(5%), LH (5%), LPN (5%), QH (5%), SC (5%), SPALI (5%)
# กลุ่มเหล็ก : TMT (7%), LHK (5-6%)
# กลุ่มขนส่ง : BTS (6%)
# กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน : MODERN (6-6.5%)
+ ธ.ก.ส.คาดว่าการจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรสวนยางพาราจะเสร็จภายในม.ค.58 โดยรัฐบาลจ่ายให้ไร่ละ 1 พันบาท ไม่เกินครัวเรือนละ 15ไร่ ซึ่งเริ่มจ่ายตั้งแต่ 15 พ.ย.57 คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายใน 23 ม.ค.58 โดยขณะนี้จ่ายไปแล้ว 98% ของจำนวนรายชื่อเกษตรกรที่ได้รับการส่งเสริมฯคิดเป็น 4.94 ล้านไร่ จำนวนเงิน 4,944.45 ล้านบาท
+ SCC จะบันทึกกำไรหลังหักภาษีราว 1.6 พันล้านบาทใน 1Q58 ซึ่งเกิดขึ้นจากการขายหุ้นบริษัทสยามมิชลินกรุ๊ปที่ถือ 10% ให้กับมิชลินกรุ๊ป(ฝรั่งเศส) ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวคิดเป็น 4% ของกำไรสุทธิปี 2558 ที่ฝ่ายวิจัยฯDBSV ประมาณการไว้ที่ 3.8 หมื่นล้านบาท และคิดเป็น 1.3 บาท/หุ้น SCCเรายังคงคำแนะนำซื้อ SCC โดยให้ราคาพื้นฐาน 500 บาท ทั้งนี้คาดการณ์ว่าว่ากำไรสุทธิปี 2558 ของบริษัทจะเติบโต 13% จากที่หดตัว 8% ในปี2557
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]