- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 05 January 2015 16:19
- Hits: 1799
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีแกว่งตัวในกรอบทิศทางลงช่วงแคบ ๆ โดยเปิดตลาดลดลงไปเล็กน้อยเพียง 1.33 จุด ก่อนที่จะไถลตัวลงสู่จุดต่ำสุดของวัน 1486.30 ลดลง 11.92 จุด ระหว่างวันมีการสลับขึ้นลงในกรอบแคบ ๆ ระหว่าง 1486.30-1499.89=13.59 จุด ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เบาบางมาก โดยตลาดเลือกเล่นหุ้นเป็นรายตัว อาทิ UWC-W1, TEAM, PTT, INTUCH, FPI ดัชนีทำปิดที่ 1497.67 ลดลง 0.55 จุด (-0.04%) มูลค่าการซื้อขายเบาบางมาก 25,331 ล้านบาท กลุ่มนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนบัญชี บล. มียอดขายสุทธิ 146 //1,056 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปมียอดซื้อสุทธิ 570 //632 ล้านบาท ภาพตลาดวันนี้
และแล้วดัชนีในปี 2557 ไม่สามารถยืนเหนือ 1500 จุดได้ แต่อย่างไรก็ตามภาพระยะสั้นยังไม่ได้เสียไปมาก หลังจากที่ดัชนีประคองตัวเกาะแนวเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (1497 จุด) และลงไปปิด Gap ที่เปิดไว้ 1487-1501 ได้เรียบร้อย พิจารณาจากกราฟรายนาที จะเห็นว่าดัชนียังคงมีแนวโน้มที่ดีน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ แต่ภายในกรอบการเคลื่อนที่ค่อนข้างจำกัดเนื่องจากยังคงถูกกดดันจากแนวโน้มที่เป็นขาลง
กลยุทธ์ : ซื้อเก็งกำไรอย่างระมัดระวัง // Let Profit Run // รอซื้อแนวรับ
Support 1500-1490 // 1450 จุด Resistance 1540-1550 //1560 จุด
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
Market Trend
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30 ธ.ค.) SET Index ปิดที่ 1497.67 จุด ลดลง 0.55 จุด หรือ 0.04% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25,330 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายของตลาดยังคงเบาบางเช่นเดียวกับหลายวันที่ผ่านมา หลักๆ มาจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนเข้าวันหยุดยาว และตลาดขาดปัจจัยหนุนจึงทำให้นักลงทุนเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเข้าซื้อหุ้นในช่วงเวลานี้
ตลาดหุ้นต่างประเทศ เปิดศักราชใหม่ ตัวเลขเศรษฐกิจของ สหรัฐฯ ยุโรป และจีน บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของแต่ละประเทศนั้นชะลอตัวในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. เป็นผลให้ตลาดหุ้นหลายตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกวัดจาก Bloomberg World Index เมื่อวันศุกร์ ลดลง 0.68% เทียบกับวันที่ 30 ธ.ค.
ราคาน้ำมันดิบ WTI (Feb) ปิดตลาด NYMEX ที่ $52.69 เหรียญ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากที่ปิดไปเมื่อสิ้นปี ปัจจัยเดิมๆคือความกังวลเนื่อง ภาวะ oversupply (รัสเซียและอิรัก) กดดันต่อราคาน้ำมัน ท่ามกลางการรายงานตัวเลขตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ของโลกที่ชะลอตัวลง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ - ถูกพูดถึงมาตลอดเดือน ธ.ค.แล้ว ว่าบางประเทศจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติม อาทิ จีน ญี่ปุ่น และอียู ... ล่าสุด นาย Mario Draghi ประธานธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่าจะมีมาตรการบางอย่างออกมาเพื่อป้องกันภาวะเงินฝืด อันเป็นผลจากเศรษฐกิจของกลุ่มอียูที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนพุ่งความสนใจไปที่การใช้ QE ระลอกใหม่ของ ECB ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง (เมื่อเทียบกับดอลล่าร์) ……. เรามองว่าการใช้ QE เป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้นเพียงแต่จะเห็นผลไม่ชัดนัก เพราะอีกด้านหนึ่ง มีการคาดการณ์ว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยในอีกไม่ช้า ซึ่งมักจะถูกมองว่าเป็นลบกับตลาดหุ้น (แต่เป็นบวกกับตลาดส่งออกของไทย)
ธปท.เผย ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่องทั้งการบริโภคและการลงทุน แต่ขณะเดียวกัน แรงกระตุ้น
จากการใช้จ่ายภาครัฐลดลง มูลค่าการส่งออกชะลอตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ประกอบกับราคาสินค้าลดลงตามราคาน้ำมัน
ทิศทางตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะมีแรงซื้อหุ้นของกลุ่มนักลงทุนที่ขายหรือชะลอการลงทุนไปก่อนหน้าวันหยุดยาว แต่ด้วยปัจจัยที่คอยถ่วงตลาดหุ้นไทยหลายตัว ที่ยังไม่จางหายไป เช่น ความกังวลเรื่องการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า (สัปดาห์นี้ จะมีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญๆหลายตัว) ราคาน้ำมันที่ยังมีแนวโน้มลดลง และตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยเองที่ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม จะทำให้ตลาดหุ้นสัปดาห์แรก จะยังมีแรงขายของนักลงทุนเข้ามาในตลาด ซึ่งจะทำให้ดัชนีในวันนี้มีโอกาสที่จะปิดลดลงจากวันก่อน
กลยุทธ์การลงทุน ตลาดจะผ่านช่วงวันหยุดยาวมาแล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนในทิศทาง โดยรวมเราจึงแนะนำให้ชะลอการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (กลุ่มธนาคารและน้ำมัน) เพื่อให้เห็นทิศทางของตลาดว่าจะไปในทางใด .... สำหรับหุ้นกลุ่มที่เราเห็นว่ายังน่าลงทุน จะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่นหุ้นจ่ายปันผลสูง (DCON, KGI) รวมถึงหุ้นที่เป็นบวกจาก การขยายตัวของธุรกิจ ICT และ Digital Economy (ADVANC, AIT, SAMTEL, SAMART) .... ขณะที่หุ้นกลุ่มที่กำลังถูกจับตามองจาก ตลาดฯในเรื่องการซื้อขายที่ผิดปกติและไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ นักลงทุนอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น
Stock in Focus
KCE : (ราคาปิด 34.25 บาท; ราคาเป้าหมาย โดย IAA Consensus 4.63 บาท) ความน่าสนใจของ KCE ตรงที่เป็นบวกจากค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อจากปีที่ผ่านมา และ KCE จะมีกำลังการผลิตแผงวงจร (PCB) เพิ่มขึ้น โดยกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ จะเริ่มทำรายได้ราวไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่ผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง กำไรงวด 9 เดือนแรก อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากปีก่อน เป็นผลจากค่าเงินบาท และการปรับปรุงกระบวนการผลิตและการผลิตที่มากขึ้น ทำให้ margin ของบริษัทฯสูงขึ้นจาก 25% เป็น 31% (งวด 9 เดือน) ราคาหุ้นที่ 34.25 นั้น คิดเป็น P/E ณ ราคาตลาด อยู่ที่ 10 เท่า ต่ำกว่าหุ้นส่วนใหญ่ของกลุ่มอีเล็กทรอนิกส์
มงคล พ่วงเภตรา
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
License No: 001937 Tel: 02-648-1123 และทีมวิเคราะห์