- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 23 December 2014 18:38
- Hits: 1592
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET ขึ้นมาแรงแล้ว ต้องระวังแรงขายกดดันให้ปรับย้อนช่วงสั้นไว้บ้าง...
กลยุทธ์ : SET ยังขยับบวกขึ้นได้ดีต่อนื่อง แต่ก็ถือว่าขึ้นมาค่อนข้างแรงพอควรในช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมา ทำให้ต้องเริ่มระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้นที่คาดว่ามีสิทธิกดดันให้ SET มีจังหวะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงไปแกว่งด้านลบให้เห็นบ้างได้ ดังนั้นช่วงถัดจากนี้ไม่แนะนำให้ซื้อตามในลักษณะไล่ราคา โดยน่ารอซื้อช่วงตลาดอ่อนตัวลงก่อนมากกว่า และสามารถหาจังหวะขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงในจังหวะตลาดบวกได้ แต่ถ้าเป็นส่วนถือลงทุนระยะกลาง-ยาว FSS ยังแนะนำให้เน้นถือต่อเนื่องมากกว่า
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BEAUTY, BLAND, MINT(short)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET ยังสามารถพลิกกลับมาเคลื่อนไหวด้านบวกต่อเนื่องได้อีกครั้ง โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขยับขึ้นของตลาดหุ้นต่างประเทศ และคาดว่าแรงซื้อบางส่วนมาจากเม็ดเงินใหม่ของกองทุน LTF/RMF ช่วงโค้งสุดท้ายด้วย ขณะที่วันนี้ยังมีแรงหนุนจากการบวกขึ้นต่อเนื่องของตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปในช่วง Santa Claus Rally ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของฝั่งตะวันตก ทำให้ FSS คาดว่า SET ยังมีลุ้นจังหวะแกว่งบวกต่อเนื่องได้อยู่ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้หลายแห่งเริ่มมีจังหวะแกว่งบวกแคบๆ และมีบางแห่งเริ่มมีแรงขายทำกำไรกดดันให้ปรับตัวย้อนลงบ้างแล้ว ซึ่งตลาดหุ้นไทยเองก็ถือว่าขยับขึ้นมาค่อนข้างแรงพอควรในช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมา ดังนั้น FSS คาดว่า SET มีแนวโน้มที่จะเริ่มมีจังหวะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้น และมีสิทธิที่จะมีช่วงแกว่งพักตัวลงให้เห็นบ้างในเร็วๆ นี้ แต่เรายังคาดว่ากรอบการปรับตัวลงของตลาดช่วงนี้จะยังอยู่ในกรอบจำกัด และมีลุ้นกลับไปแกว่งบวกต่อเนื่องได้อีก จึงแนะนำให้เลือกหุ้นซื้อในช่วงตลาดพักตัวลงได้เช่นเดิม
แนวรับ 1532-1528 , 1520-1510 จุด แนวต้าน 1540-1548 , 1550-1556 จุด
Fund Flow วานนี้ไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ในปริมาณที่เบาบาง โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ US$154.9 ล้าน ไต้หวัน US$135 ล้าน และเวียดนาม US$7.8 ล้าน แต่ขายเกาหลีใต้ US$66.3 ล้าน ไทย US$39.7 ล้าน อินโดนีเซีย US$28.9 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้ค่อนข้างนิ่ง Flow น่าจะไหลเข้าแต่เบาบางต่อเนื่อง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) KCM เริ่มเทรดวันนี้ บมจ.เค.ซี.เมททอลชีทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กแผ่นรีดเย็นและโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป เราคาดกำไรสุทธิปีนี้หดตัวแรง 66% Y-Y เหลือ 14 ล้านบาทจากภาวะการเมือง กำลังซื้อชะลอ และการแข่งขันสูงขึ้น แต่คาดกำไรโต 462% Y-Y เป็น 81 ล้านบาทในปี 2015 จากการขายสาขา 3 แห่ง และการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่ฟื้นตัว ที่ราคาจอง 1.30 บาทคิดเป็น PE 11 เท่าปีหน้า ราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 1.80 บาท (FSS เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ KCM)
(0) DTAC กำไรใน 4Q14 สู้ ADVANC ไม่ได้ เราคาดกำไรปกติของ DTAC ใน 4Q14 ฟื้นตัว 2% Q-Q ตามฤดูกาล แต่ยังลดลง 8% Y-Y จาก ARPU และ Net Add ที่ยังติดลบ ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพิ่มคุณภาพเครือข่าย ส่วนต้นทุนด้าน Regulatory ลดในอัตราที่ชะลอ ส่งผลให้กำไรปกติปี 2014 คาดว่าจะหดตัว 3% Y-Y เราปรับลดกำไรปกติปี 2015 ลง 4% เหลือโต 8% Y-Y สะท้อนต้นทุนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการลงทุนครั้งนี้ และปรับลดราคาเป้าหมายปี 2015 ลงเล็กน้อยเป็น 110 บาท จากเดิม 113 บาท คำแนะนำยังคงเป็นซื้อ เพราะ upside ที่สูงกว่า 10% แต่ชอบ ADVANC (ราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 300 บาท) มากกว่าจากกำไรที่เติบโตสูงกว่า
(0) TOP เราคาดว่าใน 4Q14 จะขาดทุนสุทธิหนัก 6,738 ล้านบาทจากขาดทุนสต๊อกน้ำมัน ส่งผลให้ทั้งปี 2014 มีผลขาดทุนสุทธิ 4,285 ล้านบาท แย่กว่าที่คาดเดิม แต่คงประมาณการปี 2015 ที่คาดมีกำไร 7,568 ล้านบาท โดยยังคงสมมติฐานค่าการกลั่นเฉลี่ย US$5/บาร์เรล และปรับลดราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีหน้าลงเป็น US$70/บาร์เรล แต่ตั้งสมมติฐานว่าไม่มีขาดทุนจากสต๊อก เราคงราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 47 บาท (PBV 1 เท่า) ราคาหุ้นปรับลงลึกมาแล้วแต่ upside จำกัด จึงแนะนำเพียงถือ
(+) มุมมองกลุ่มหลักทรัพย์ปี 2015 เราปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral จากเดิม Underweight เพราะเชื่อว่าปี 2015 จะกลับมาเป็นปีทองของกลุ่มหลักทรัพย์อีกครั้งจากมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% Y-Y เป็น 4.6 หมื่นล้านบาท/วัน (ไม่รวมบัญชีหลักทรัพย์) ตามภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นและน่าจะคึกคักในช่วงปลายปีที่จะมีการเลือกตั้ง เทียบกับปี 2014 ที่คาดมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 4.2 หมื่นล้านบาท/วัน (-5% Y-Y) และสูงกว่าปี 2013 ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 4.4 หมื่นล้านบาท/วัน ขณะที่อัตราค่านายหน้ามีแนวโน้มทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิปี 2015 เติบโต 5% Y-Y สู่จุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง เราแนะนำ ASP (ราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 4.73 บาท) เป็น Top pick เพราะกำไรเติบโตสูงสุด (+8% Y-Y) และเงินปันผลตอบแทนดีสุด (7-8%)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้นต่อเนื่องและปิดบวกติดต่อกัน 5 วันทำการนำโดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีและทำให้ทั้ง DJIA และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนบวกได้เช่นกันโดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินรูเบิลของรัสเซียที่เริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ปรับตัวสลับมีทั้งบวกและลบโดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงอีกครั้ง
ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวออกทางข้าง ล่าสุดเคลื่อนไหวในกรอบ 32.80-33.94 บาท/ดอลลาร์
น้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ร่วงลง 1.87 ดอลลาร์ ปิดที่ 55.26 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยมีแรงขายทำออกมาหลังจากที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียยืนยันว่าสามารถรับมือกับความผันผวนของรายได้จากน้ำมันได้และจะไม่ลดกำลังการผลิต
ทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ร่วงลง 16.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,179.80 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังตัวเลขยอดขายบ้านเก่าปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 6 เดือน รวมถึงราคาน้ำมันที่ร่วงลงอีกครั้ง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
23 ธ.ค. - ไทย: KCM เริ่มเทรด (ราคา IPO 1.30 บาท)
- สหรัฐ: คำสั่งซื้อสินค้าคงทน (พ.ย.), ยอดขายบ้านใหม่ (พ.ย.), 3Q14 GDP (ตัวเลขสุดท้าย)
24 ธ.ค. - ตลาดหุ้นที่ปิดทำการมี ฟิลิปปินส์และฮ่องกง
- ไทย: EPG เริ่มเทรด (ราคา IPO 5.80 บาท)
25 ธ.ค. - ตลาดหุ้นที่ปิดทำการมี ฟิลิปปินส์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อินเดีย และสหรัฐฯ
26 ธ.ค. - ตลาดหุ้นที่ปิดทำการมี ฮ่องกง อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
- ไทย: ดุลการค้า (พ.ย.), LHSC เริ่มเทรด
30 ธ.ค. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน พ.ย.
- สหรัฐ: S&P/Case Shiller Index (ต.ค.)
31 ธ.ค. - ตลาดหุ้นที่ปิดทำการมี ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และไทย
- จีน: HSBC China Manufacturing PMI (ธ.ค.)
- สหรัฐ: Pending Home Sales (พ.ย.)
1 ม.ค. - จีน: Manufacturing PMI (ธ.ค.)
Contact person : Somchai Anektaweepon
Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852