- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 15 December 2014 22:53
- Hits: 1764
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“Sentiment ลบยังกดดัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวันศุกร์ SET Index ปรับขึ้นได้เพียงเล็กน้อย ก็ปรับลดลงต่อ นำโดยกลุ่มพลังงาน ปิดตลาดดัชนี -11.86 จุด ที่1514.95 ซึ่งเป็นระดับเกือบต่ำสุดของวัน สัปดาห์นี้ คาดว่าดัชนีมีโอกาสลงไปทดสอบ 1500 จุดหรือต่ำกว่า หลังบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นยังคงย่ำแย่ จากหุ้นกลุ่มน้ำมันที่กดดันดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแรงราว 1.8% แม้ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจะทำให้ต้นทุนการผลิตและขนส่งต่ำลง และเงินเฟ้อไม่เป็นประเด็นที่กดดันประเทศที่ต้องการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ดูเหมือนว่าการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน & โภคภัณฑ์ ผนวกกับความวิตกกับปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวจะมีผลกระทบมากกว่า ทั้งนี้ GDP ของประเทศกลุ่มโอเปคคิดเป็นประมาณ 6% ของโลก ซึ่งเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้าส่งผลกระทบทางลบต่อภาคส่งออกของไทยด้วย ปัจจัยที่ติดตาม คือ ผลประชุมเฟด และกนง.ของไทย โดยรอดูว่าเฟดจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร (ตลาดประเมินว่าน่าจะไม่เร็ว) ส่วนของไทยคาดว่ามีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นรอบนี้หรือไม่ก็ใน 1Q58นอกจากนั้นก็เป็นการปรับลดราคาน้ำมันค้าปลีกในประเทศ ซึ่งมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะพิจารณาในต้นสัปดาห์นี้ กลยุทธ์การลงทุน เลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยเกื้อหนุนให้เติบโตได้ดีในปีหน้า ในกลุ่มพลังงานบริษัทที่เราคาดว่าจะมีผลประกอบการโดดเด่นกว่าบริษัทอื่นในกลุ่ม คือ TOP เพราะราคาน้ำมันลดลงทำให้มูลค่าสูญเสียในกระบวนการผลิตต่ำลง และค่า Crude Premium ลดลง ดังนั้นหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้จึงเป็น TOP
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดในระยะสั้นมากเป็นลบ สัปดาห์นี้ดัชนีมีโอกาสลงมาทดสอบแนวรับ 1500, 1480-1470 จุด อย่างไรก็ตาม มีสิทธิเห็นการรีบาวด์หลังร่วงเร็วและแรงได้ ปัจจัยที่จะหนุนตลาดปรับขึ้นได้คือ การที่เฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว และประเทศต่างๆ ช่วยกันหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับแนวต้านและแนวจิตวิทยาสำคัญคือพื้นที่ 1550+/- จุด ถ้าผ่านขึ้นไปไม่ได้ หมายความว่าตลาดยังคงอยู่ในทิศทาง Sideway downสำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High พบว่าหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ RWI ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ PPS, CSS, CEN ส่วนหุ้นที่หลุดList คือ AKR สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาขึ้นมาในพื้นที่ขายทำกำไร คือ ABC, TCMC, EIC
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• สหรัฐ : จับตาผลประชุมเฟด 17 ธ.ค.นี้ ว่าจะส่งสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างไร ในช่วงที่กำลังมีวิกฤตราคาน้ำมัน และเศรษฐกิจประเทศชั้นนำต่างๆ อยู่ในภาวะชะลอตัว
+ สหรัฐ : คาดวุฒิสภาจะผ่านร่างงบประมาณฯ ผู้นำวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันสหรัฐบรรลุข้อตกลงรับพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่าย 1.1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อ 14 ธ.ค.57
+ สหรัฐ : ความเชื่อมั่นผู้บริโภคแข็งแกร่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนธ.ค.ของทอมสัน รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนปรับขึ้นสู่93.8 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 8 ปี และดีกว่าการคาดการณ์ของตลาด ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 0.2% ในเดือนพ.ย. นำโดยการ
ปรับตัวลงของราคาพลังงาน
•/- ยูโรโซน : ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมต.ค.เติบโต 0.1%MoM และเพิ่ม 0.7%YoY ซึ่งกระเตื้องขึ้นค่อนข้างช้า และประเทศขนาดใหญ่อย่างเยอรมนี ฝรั่งเศส และสเปนยังมีการผลิตที่ซบเซา
- จีน : ภาคอุตสาหกรรมเติบโตชะลอตัวลง ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนขยายตัว 7.2%YoY ในเดือนพ.ย. ลดลงจากที่เพิ่มขึ้น 7.7%YoY ในเดือนต.ค. และ 8%YoY ในเดือนก.ย.
- จีน : ธนาคารกลางจีนปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 58 เป็น7.1% จากระดับ 7.4% เนื่องจากการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
• ญี่ปุ่น : พรรค LDP ของนายอาเบะได้ชัยชนะในการเลือกตั้งตามคาด โดยได้ที่นั่งในสภาผู้แทนฯ 290 เมื่อรวมกับพรรคร่วมรัฐบาลโคเมโตะจะมีที่นั่ง 325 จากทั้งหมด 475
- วิตกเศรษฐกิจโลกปี 2558 ชะลอตัว การปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันได้จุดกระแสวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกโดยการขยายตัวในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ กำลังชะลอตัวลง และ IEA ระบุว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งต่างเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อต่ำที่ต่ำมากอยู่แล้วนอกจากนั้นเศรษฐกิจประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (กลุ่มโอเปค) ก็จะชะลอตัวลง ซึ่งกลุ่มนี้มีสัดส่วน GDP คิดเป็นประมาณ 6% ของโลก
- EIA ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบ ล่าสุดรายงานตลาดน้ำมันประจำเดือนธ.ค.ของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปี 2558 ลงอีก 230,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ900,000 บาร์เรล/วัน จากการคาดการณ์ว่าการบริโภคเชื้อเพลิงจะลดต่ำลงในรัสเซีย และประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอื่นๆ
- ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งแรง ดัชนี DJIA ร่วง 315.51 จุด หรือ -1.79% ปิดที่17,280.83 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 33.00 จุด หรือ -1.62% ดัชนีNasdaq ปรับลง 54.57 จุด หรือ -1.16% หุ้นกลุ่มพลังงาน & โภคภัณฑ์นำดัชนีร่วงลงเพราะวิตกอุปสงค์ชะลอ และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกอ่อนแอ
- สัญญาน้ำมันดิบร่วงต่อ โดย WTI ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 2.14 US$ ปิดที่ 57.81 US$/bbl ซึ่งลดลงแล้ว 41% ตั้งแต่ต้นปี 57 ด้าน BRENT ลดลง1.83 US$ ปิดที่ 61.85 US$/bbl ดิ่งลงแล้ว 44% ในปีนี้
• สัญญาทองคำ COMEX ส่งมอบก.พ.ลดลง 3.1 ดอลลาร์ ปิดที่1,222.5 ดอลลาร์/ออนซ์ จับตาผลประชุมเฟดวันที่ 17 ธ.ค.นี้
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
• กนง.ประชุม 17 ธ.ค....ติดตามว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00%หรือลด 0.25% โดยนักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่อยากให้คณะกรรมการฯลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้เลย เพราะเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า อย่างไรก็ตามกนง.อาจต้องการเก็บกระสุนนัดนี้ไว้ใช้เมื่อจำเป็นในปี 58 เพราะในช่วงสั้นมีปัจจัยกระตุ้นการบริโภคจากราคาน้ำมันค้าปลีกในประเทศที่ลดลง รวมทั้งรัฐบาลก็เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ขณะเดียวกันระดับหนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงก็เป็นประเด็นที่จำกัดการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมของไทยสำหรับ DBSV Retail Research ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยอยู่ในแนวโน้มลง และกลุ่มที่ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ คือ ที่พักอาศัย โดยเรายังให้เลือกซื้อลงทุนในบริษัทที่มี Backlog สูง มีกการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์และฐานลูกค้า ฐานะการเงินแข็งแรง และจ่ายปันผลสม่ำเสมอ หุ้น Top Picks ของเราเป็น SPALI และ PS
- กลุ่มพลังงาน : ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบ Dubai ในประมาณการลงเป็น 70 US$/bbl ในปี 58 (เดิม 95 US$/bbl), ลดปี 59 เป็น 75US$/bbl (เดิม 92 US$/bbl) และลดสมมติฐานราคาน้ำมันระยะยาวเป็น 82US$/bbl (เดิม 92 US$/bbl) สะท้อนสงครามราคาน้ำมันที่กำลังเกิดขึ้นและคาดว่าจะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวต่ำต่อในปีหน้า สำหรับราคาก๊าซก็ให้ปรับลดเป็น 7.4-7.6 US$/mmbtu (เดิม 8.0 US$/mmbtu) ซึ่งทำให้กำไรสุทธิของ PTTEP ปี 57-59 ลดลงจากคาดการณ์เดิม 21%, 37% และ 31%ตามลำดับ นอกจากนั้น PTTEP ยังจะมีการตั้งสำรองด้อยค่าของเงินลงทุนเมื่อราคาน้ำมันดิบดิ่งลงอีก 1.2 หมื่นล้านบาทใน 4Q57 หรือในปี 58 ซึ่งขณะนี้คุยกับผู้สอบบัญชี เรามีมุมมองที่เป็นลบกับ PTTEP ส่วนกลุ่มโรงกลั่นคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง เพราะทำให้มูลค่าของ Fuelloss ในการกลั่นน้อยลง และมูลค่าของ Crude Premium ต่ำลง ซึ่งปกติโรงกลั่นจะมี Loss จากการกลั่นประมาณ 3% ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงทำให้Loss ลดลงจาก 3 US$/bbl เป็น 2.1 US$/bbl ในปี 58 (ราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 10 US$/bbl ทำให้ค่าการกลั่น หรือ GRM เพิ่ม 0.3 US$/bbl) ในเชิงกลยุทธ์ให้ TOP เป็นหุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน สำหรับ BCP จะได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น มีกำไรจากโซลาร์ฟาร์มเข้ามาเสริม และมีปัจจัยกระตุ้นจากการขายหุ้นของ PTT
• PTT จะสรุปเรื่องการซื้อขายหุ้น BCP ที่ถืออยู่ 27.22% ในเดือนม.ค.58 ส่วนการขายหุ้นโรงกลั่นสตาร์ปิโตรเลียม (SPRC) ที่ถือ 36% ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนแก้ไขสัญญา และนำเสนอต่อครม.เพื่อทราบ