- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 November 2014 16:28
- Hits: 1779
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET เริ่มผันผวนอีกครั้ง ดังนั้นจังหวะเลือกหุ้นเข้าซื้อจึงยังรอช่วงลบได้!
กลยุทธ์ : SET เริ่มมีจังหวะแกว่งย้อนลบให้เห็น หลังจากที่ดัชนีขึ้นมาใกล้แนวต้านทางจิตวิทยาแถว 1600 จุด(+/- เล็กน้อย) อีกครั้ง ทำให้ FSS คาดว่าตลาดจะยังอยู่ในลักษณะแกว่งตัวผันผวนอีกสักระยะ ดังนั้นถ้าเทรดดิ้งสั้นตามรอบก็ควรดูจังหวะขายบวกบ้าง เพื่อรอลงแล้วค่อยซื้อใหม่เป็นการลดความเสี่ยงจากการผันผวนของตลาด อย่างไรก็ตาม FSS ยังมีมุมมองเชิงบวกกับภาวะหุ้นระยะกลาง-ยาวอยู่ ดังนั้นช่วงตลาดอ่อนตัวลง ยังสามารถเลือกหุ้นเข้าซื้อเพื่อถือลงทุนเพิ่มเติมได้อีก โดยแนะนำให้เผื่อเงินสดไว้รอรับช่วงตลาดลงต่ำด้วย
หุ้นเด่นทางเทคนิค : THCOM, NOK , WHA(buy back)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET เริ่มกลับมาแกว่งพักตัวลงอีกครั้ง หลังจากรีบาวด์ขึ้นมาพอควรในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นเอเชียที่วานนี้ยังมีลักษณะแกว่งตัวผันผวนไร้ทิศทางกันอยู่ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในคืนวันก่อนออกมาไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามเช้านี้ตลาดเอเชียพอที่จะมีจังหวะเปิดบวกได้บ้าง หลังตัวเลขยอดขายบ้านใหม่และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐต่างก็ปรับตัวสูงขึ้นในเดือน ต.ค. ซึ่ง FSS คาดว่าน่าจะพอช่วยหนุนให้ SET กลับมามีจังหวะแกว่งบวกในระหว่างวันได้ด้วยเช่นกัน แต่ SET ยังมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวผันผวนในระหว่างวันอยู่ก่อนได้ เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนยังรอดูผลประชุมโอเปคในวันนี้อีกครั้ง รวมทั้งยังรอปัจจัยบวกใหม่ๆ ที่จะเข้ามาช่วยหนุนตลาดด้วย ขณะที่ค่าเงินบาทก็กลับมาอ่อนค่าลงเล็กน้อยด้วย ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อในลักษณะไล่ราคา แต่น่ารอช่วงตลาดอ่อนตัวลงแล้วค่อยเลือกหุ้นซื้อต่อเนื่องได้
แนวรับ 1590-1587 , 1585-1582 จุด แนวต้าน 1593-1595 , 1598-1602 จุด
Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ในปริมาณที่เบาบาง โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวัน US$103.2 ล้าน เกาหลีใต้ US$79.3 ล้าน อินโดนีเซีย US$21.4 ล้าน ฟิลิปปินส์ US$16.8 ล้าน ไทย US$3.3 ล้าน แต่ขายเวียดนาม US$1.8 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้ทรงตัว Flow น่าจะยังไหลเข้าต่อแต่เบาบาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) ส่งออกดีกว่าคาด ขยายตัว 3.97% Y-Y ในเดือน ต.ค. (ตลาดคาด +0.6% Y-Y) ทำให้งวด 10M14 ยังติดลบ 0.4% Y-Y สศช. และ ธปท.คาดส่งออกปีนี้โต 0% (เราคาด -0.5%) และคาดปีหน้าโตประมาณ 4% (เราคาด +4.5%) ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ตลาดส่งออกหลักส่วนใหญ่ยังชะลอ เช่นยุโรป ญี่ปุ่น และจีน ขณะที่สินค้าเกษตรหลายตัวยังมีปัญหาราคาตกต่ำ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับส่งออกยังไม่น่าสนใจในการลงทุนในปีหน้า ตรงข้ามกับหุ้น Domestic plays ที่จะสดใสมากกว่า เชื่อว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจในประเทศในเดือน ต.ค. ที่ธปท.จะรายงานศุกร์นี้น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน
(0) ติดตามการประชุม OPEC กลุ่ม OPEC เริ่มเสียงแตกโดยเฉพาะซาอุดิอารเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดของ OPEC แสดงท่าทีไม่ลดการผลิต ราคาน้ำมันในระยะสั้นอาจร่วงต่ำกว่า US$70 ซึ่งจะทำให้การปรับขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มน้ำมันและโรงกลั่นเป็นไปอย่างจำกัดแม้ว่าราคาหุ้นจะร่วงหนักแล้วก็ตาม แต่น้ำมันที่ลดลงเป็นผลดีกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม
(-) TRUE เรากลับมาประเมินมูลค่าของ TRUE ในปีหน้าใหม่ได้เท่ากับ 11 บาท จากเดิม 7.30 บาท แต่ยังแนะนำขายเพราะราคาเกินฟื้นฐานแม้ TRUE จะสามารถ turnaround ได้ในปีหน้าก็ตาม โดยคาดว่า TRUE จะพลิกเป็นกำไรปกติเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าตลาดฯ 5.6 พันล้านบาทในปี 2015 หลังนำเงินเพิ่มทุนไปคืนเงินกู้ ลดภาระดอกเบี้ยจ่ายไปกว่าครึ่ง และควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างดี ทำให้ EBITDA margin เพิ่มเป็น 24.3% จาก 18-19% ในปี 2012-14 แต่การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจะเป็นข้อจำกัดการเติบโตในอนาคต เพราะหลังประมูล 4G ในปีหน้า คุณภาพบริการของคู่แข่งจะตีตื้นขึ้นมาเทียบกับ TRUE ส่วนธุรกิจ True Vision จะเผชิญการแข่งขันจาก TV Digital หน้าใหม่หลายราย ขณะที่ธุรกิจ Fixed Broadband ก็มีคู่แข่งเพิ่มขึ้นคือ ADVANC การขยายตัวต่อไปจึงไม่ง่าย
(-) CKP เราปรับลดกำไรสุทธิปี 2014-16 ลงปีละ 15% จากกำไรใน 9M14 ที่ต่ำกว่าคาด เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (BIC-1) ที่เริ่มผลิตตั้งแต่ มิ.ย. 2013 มีต้นทุนการผลิตสูงกว่าที่คาด ทำให้กำไรสุทธิปี 2014 เหลือ 361 ลบ. +65% Y-Y การเติบโตในปีนี้มาจากการรับรู้รายได้จาก BIC-1 เต็มปี ส่วนปี 2015-16 คาดกำไรโต 9% Y-Y และ 11% Y-Y ตามลำดับ จากต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ขณะที่กำลังผลิตใหม่จะยังไม่เข้ามาจนกว่าโรงไฟฟ้า BIC-2 (117.5MW) เปิดดำเนินการปี 2017 เราปรับราคาเป้าหมายปี 2015 ลงเป็น 15.60 บาทจาก 16 บาท ยังแนะนำขาย สำหรับโครงการไซยะบุรีที่คาดว่า CKP จะซื้อหุ้น 37.5% จาก CK และ BECL จะเพิ่มมูลค่าให้ประมาณ 4 บาท/หุ้น แต่อยู่ในปี 2019 และยังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณของเรา
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนบวกและทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้งหลังนักลงทุนตอบรับเชิงบวกต่อตัวเลขยอดขายบ้านใหม่และยอดซื้อสินค้าคงทนที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือน ต.ค.
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดผสมมีทั้งบวกและลบท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน โดยปัจจัยกดดันบางส่วนเกิดจากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรง
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวในแดนบวกหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯยังปิดทำ New High
ค่าเงินบาทเริ่มมีจังหวะแข็งค่าขึ้น ล่าสุดแกว่งตัวในกรอบ 32.65-32.80 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ลดลง 0.40 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 73.69 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด อย่างไรก็ตามตลาดจับตาดูผลการประชุม OPEC ในวันนี้
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ลดลง 0.30 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,197.50 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาทองคำร่วงลงจำกัดเนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
27 พ.ย. - ฟิลิปปินส์: 3Q14 GDP
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (พ.ย.)
- สหรัฐ: ตลาดการเงินปิดทำการ Thanksgiving Day
- การประชุม OPEC
28 พ.ย. - ไทย: ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจเดือน ต.ค.
- ไต้หวัน: 3Q14 GDP
- อินเดีย: 3Q14 GDP
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.)
1 ธ.ค. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (พ.ย.)
- จีน: Manufacturing PMI (พ.ย.)
- สหรัฐ: ISM Manufacturing (พ.ย.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Manufacturing PMI (พ.ย.)
2 ธ.ค. - อินเดีย: ธนาคารกลางประชุม
3 ธ.ค. - จีน: Non-manufacturing PMI (พ.ย.)
- ออสเตรเลีย: 3Q14 GDP
Contact person : Somchai Anektaweepon
Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852