- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 30 November 2021 23:01
- Hits: 7689
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 30-11-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 30 พฤศจิกายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ยังมองเป็นโอกาสซื้อ
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,580 จุด และแนวต้าน 1,600 จุด เน้นหุ้นที่กำไรเติบโตดี โดย ATO Picks แนะนำ “SCGP, EA”
SCGP
คาดกำไร 4Q64 จะปรับตัวขึ้นทั้ง QoQ, YoY จากกิจกรรมเศรษฐกิจของไทย และอาเซียนที่ดีขึ้น ผสานแรงหนุนจากการ M&P (Duytan & Intan) เต็มไตรมาส ผสานต้นทุนเศษกระดาษที่อาจลดลง จะเป็นปัจจัยบวกต่อมาร์จิ้น และปี 65 คาดยอดขายโตอีก 15% และมาร์จิ้นกลับมาสู่ 20.9%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 75 บาท
EA
เริ่มเข้าไปสู่ EV mega trend โดยแหล่งรายได้ใหม่ EV Bus ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างดี อีกทั้งเทคโนโลยี Ultra Fast charge ยังทำให้แผนธุรกิจปัจจุบันลงตัว โดยจากแผนของภาครัฐเราคาดว่ากำลังการผลิต EV Bus จะเต็มใน 4 ปีข้างหน้าสามารถชดเชยรายได้ไฟฟ้าที่ลดลง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 90 บาท
INVESTMENT THEME
ยังมองเป็นโอกาสซื้อ : ในระยะสั้นประเด็นสำคัญที่ตลาดยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดคือ การกลายพันธุ์ของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” โดยตลาดมีความกังวลว่าการแพร่กระจายอาจรวดเร็ว และเชื้อสามารถต้านทานต่อวัคซีนที่ใช้กันอยู่ โดยเราเชื่อว่าข่าวการติดเชื้อในประเทศต่างๆที่มากขึ้นรวมถึงการแบนการเข้าประเทศอาจเป็นจิตวิทยาเชิงลบในระยะสั้น แต่อย่างไรก็ดีท้ายที่สุดเชื่อว่าบริษัทยาต่างๆ จะสามารถผลิตวัคซีนชุดใหม่ออกมาต้านเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนได้ ดังนั้นการปรับฐานในรอบนี้ ยังมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสม โดยประเมินแนวรับทางเทคนิคที่สำคัญอยู่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย EMA 200 วัน ที่ระดับ 1570 จุด และหากพิจารณาในเชิงปัจจัยพื้นฐานอาจประเมินบริเวณที่เป็นแนวรับสำคัญคือ 1550 ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ย PE ของ SET +0.5SD ถือว่า Downside ไม่มากนัก เป็นโอกาสสะสม
MSCI ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยเล็กน้อย : วันนี้ตลาดหุ้นไทยอาจผันผวนในช่วงท้ายตลาดจากการปรับดัชนี MSCI สำหรับรอบนี้ ไทยถูกปรับลดน้ำหนักลงเล็กน้อยราว -0.02% สู่ระดับ 1.64% โดยสำหรับดัชนี MSCI Global Standard Index ไม่มีการปรับหุ้นไทย แต่ดัชนี MSCI Global Small Cap มีหุ้นไทยถูกเลือกเข้าใหม่ คือ BEC, TIPH, TIDLOR ส่วนหุ้นที่ถูกปรับออก คือ TKN
MARKET SUMMARY
วานนี่ SET ยังคงปรับตัวลง จากการรับความเสี่ยงของการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ โดย SET ปิดที่ 1,589.69 (-20.92 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.16 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.23 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 4,370 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 3,368 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Future ที่ 9,963 สัญญา)
EYES ON
30 พ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค US, รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำปีของไทย, PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของจีน
1 ธ.ค. PMI ภาคการผลิต US และยูโรโซน, ISM ภาคการผลิต US, การจ้างงานภาคเอกชน ADP
2 ธ.ค. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
Thailand Tourism
โอไมครอนกระทบ MINT หนักสุด
โอไมครอนอาจกระทบการเปิดประเทศ แต่ไม่น่าถึงล็อกดาวน์
พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ชื่อโอไมครอนหลายรายในยุโรป ซึ่งขณะนี้ หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยหันมาบังคับใช้การกักตัวอีกครั้งสำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศแอฟริกาใต้หรือห้ามเดินทาง ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากประเทศในแอฟริกาเหล่านี้อาจมีน้อย แต่การแพร่กระจายไปยังยุโรปเป็นเรื่องที่น่ากังวล เพราะหากรุนแรง ไทยอาจต้องสั่งห้ามนักท่องเที่ยวยุโรปเข้ามาด้วย ถือเป็นความเสี่ยงด้านลบ เนื่องจากชาวยุโรปคิดเป็น 59% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในเดือนตุลาคม 64 นอกจากนี้ หาก Omicron แพร่กระจายไปทั่วโลก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ประเทศไทยอาจต้องปิดพรมแดนอีกครั้ง แต่เราคาดว่าไม่น่าเกิดขึ้น และประมาณการของเราก็ไม่ได้รวมปัจจัยนี้เข้าไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
MINT ได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วน CENTEL น้อยสุด
เราคาดว่า MINT จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการระบาดระลอกใหม่ของโควิดในยุโรป เนื่องจากรายได้เกือบครึ่งมาจากยุโรป สำหรับ AOT และ AWC รายได้ทั้งหมดมาจากประเทศไทย ในขณะที่ ERW ประมาณ 96% ของรายได้มาจากประเทศไทย และน่าจะได้รับผลกระทบจากสายพันธุ์ใหม่ หากประเทศไทยต้องสั่งห้ามการเดินทางเข้ามาจากประเทศในยุโรป
เราคาดว่า CENTEL จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากรายได้ปกติประมาณ 60% มาจากธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าและขับเคลื่อนจากการบริโภคประเทศ ทั้งนี้ เรามองว่าประเทศไทยไม่น่าจะมีการล็อกดาวน์อีก เนื่องจากคาดว่าจะสามารถจัดการกับสายพันธุ์ใหม่โดยการปิดพรมแดนก่อน (ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด) ซึ่งอาจเพียงพอสำหรับการควบคุมการติดเชื้อและการล็อกดาวน์ อาจไม่จำเป็น ดังนั้น เราจึงคิดว่าธุรกิจร้านอาหารจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าธุรกิจโรงแรม
คาดฟื้นตัวเต็มที่ในปี 67
เราคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทยจะแตะระดับต่ำสุดในปี 64 ที่มีเพียง 0.4 ล้านคน และฟื้นคืนสู่ระดับ 9 ล้านคนในปี 65 และน่าจะฟื้นสู่ระดับ 40 ล้านคนในปี 67 (ระดับก่อนโควิด-19 ในปี 62) สอดคล้องกับการคาดการณ์ผู้โดยสารของ AOT จากการฟื้นตัวช้าและการขาดทุนอย่างหนักในปี 65 เรายังคงมีมุมมองเชิงลบต่อกลุ่มท่องเที่ยว
AOT ยังคงเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มท่องเที่ยว
AOT (6% WACC เติบโต 4.7%) ยังคงเป็นหุ้นเด่นของเราเนื่องจากเป็นประตูสู่ประเทศไทยและเป็นผู้รับอานิสงส์หลักเมื่อการเดินทางฟื้นตัว เราคาดว่า AOT จะกลับมามีกำไร 1.14 หมื่นล้านบาทในปี 66 จากขาดทุน 3.6 พันล้านบาทในปี 65 (ปีปัจจุบัน) ความเสี่ยงด้านลบที่สำคัญ คือ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายพันธุ์ใหม่ Omicron
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ