- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 29 November 2021 22:56
- Hits: 8171
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 29-11-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 29 พฤศจิกายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
ยิ่งกลัว ยิ่งน่าซื้อ
วันนี้คาด SET ย่อตัว ในกรอบแนวรับ 1,590 จุด และแนวต้าน 1,630 จุด เน้นหุ้นที่กำไรเติบโตดี โดย ATO Picks แนะนำ “JMT, EPG”
JMT
คาดกำไร 4Q64 จะเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ จากการเก็บหนี้ที่แข็งแกร่ง ผสานกับความกังวลจากการกลายพันธุ์อาจทำให้หนี้เสียมีโอกาสออกมามากขึ้น เป็นบวกต่อ JMT ที่มีเงินจากการเพิ่มทุน ทำให้พร้อมในการซื้อหนี้ได้อีกมาก หนุนกำไรปีหน้าคาดยังโตต่อเนื่อง +37%
EPG
แนวโน้มงบช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะดีขึ้น จากปัญหาเรือขาดแคลนดีขึ้น รวมถึงมีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้น และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับ Covid-19 ร่วม 20 ล้านบาท เหมือนไตรมาสก่อน ส่วนปี 65 จะเติบโตดี และ ทำสถิติสูงสุดใหม่ แรงขับเคลื่อนมาจากการเติบโตทั้งสามธุรกิจ
INVESTMENT THEME
กังวล COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ : ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกปรับตัวลดลงแรง ขานรับความกังวลต่อการกลายพันธุ์ของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ซึ่ง WHO กำหนดชื่อว่า “โอไมครอน” ซึ่งพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกา โดยถือเป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวลตัวที่ 5 ของโลก (Variants of Concern : VOC) เนื่องจากเชื้อสามารถกระจายตัวได้อย่างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น และต่อต้านกับวัคซีนในปัจจุบันที่มีอยู่ด้วย ประเด็นนี้คงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการกระจายไปจุดไหนบ้าง และจะเข้าสู่ไทยหรือไม่ รวมทั้งรอการศึกษาราวจากบริษัทที่ผลิตวัคซีนเพื่อหาวัคซีนชุดใหม่มาป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเราคาดว่าจะมีพัฒนาการที่เร็ว
ย่อตัวเป็นโอกาสในการสะสม : ราคาน้ำมันดิบโลกวันศุกร์ที่ผ่านมาปรับตัวลงแรง -11% ขานรับความต้องการที่อาจชะลอตัวลงหากสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายเป็นวงกว้าง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป ที่ปรับตัวลงราว -2.5%, -4% ตามลำดับ ดังนั้นยังคงเป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีโอกาสถูกแรงขาย ย่อตัวต่อ แต่เชื่อว่ายังมองเป็นโอกาสในการซื้อ โดยเชื่อว่าบริษัทต่างๆจะปรับตัวได้, นักลงทุนมีบทเรียนในช่วงที่ผ่านมา และท้ายที่สุดบริษัทผลิตวัคซีนก็มีวัคซีนที่เข้ามาต้านทานได้ โดยเราประเมินกรอบแนวรับสำคัญของ SET อยู่ที่บริเวณ 1590 และ 1570 จุด
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ SET ย่อแรง ตอบรับความกังวลการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ โดย SET ปิดที่ 1,610.61 (-37.85 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.23 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.4 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 6,091 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 3,462 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Future ที่ 43,587 สัญญา)
EYES ON
29 พ.ย. Pending Home Sale, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
30 พ.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค US, รายงานภาวะเศรษฐกิจประจำปีของไทย, PMI ภาคการผลิตและภาคบริการของจีน
1 ธ.ค. PMI ภาคการผลิต US และยูโรโซน, ISM ภาคการผลิต US, การจ้างงานภาคเอกชน ADP
Thailand Oil & Gas
ภาพจำยังชัดเจน
POSITIVE
โควิดสายพันธุ์ใหม่ "Omicron" หลอนซ้ำ
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันร่วง 11% แตะ 73 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากความกังวลโควิดสายพันธุ์ใหม่จากแอฟริกาใต้ซึ่งแพร่กระจายเชื้อเร็วจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน โดยพบในแอฟริกาใต้ บอตสวานา ฮ่องกง เบลเยียมและอิสราเอล หลายประเทศได้สั่งห้ามเที่ยวบินจากแอฟริกา ราคาที่ร่วงแรงเกิดจาก panic sell เนื่องจากเรายังรู้จักไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้น้อยมาก ซึ่ง ที่ผ่านมาก็มีหลายสายพันธุ์ที่ไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ดังนั้นจึงยังต้องจับตาดูความรุนแรงของ Omicron ต่อไป อีกสาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากการซื้อขายที่เบาบางเนื่องจากฝั่งเก็งกำไรช็อตเซลออกมาในวัน Black Friday
โดยพื้นฐานแล้ว - จุดยืนน้ำมันดิบอยู่ตรงไหน?
EIA ประเมินความต้องการน้ำมันดิบโลก 4Q64 ที่ 100mbps (ก่อนไวรัสสายพันธุ์ใหม่) สูงกว่าช่วง 4Q63 ประมาณ 5mbpd โดยความต้องการน้ำมันอากาศยานปัจจุบันอยู่ที่ 6mbps สูงกว่าช่วงฤดูหนาวที่แล้ว 1mpd ตอนที่มีผู้ป่วยติดเชื้อและเข้าโรงพยาบาลสูงกว่านี้มาก มองที่สถานการณ์ที่แย่กว่านั้น ความต้องการเชื้อเพลิงเครื่องบินที่เพิ่มขึ้น 1mbps และอุปสงค์ทั่วโลกอีก 0.5mpd หายไปเนื่องจากข้อจำกัดด้านการเดินทาง ตลาดประเมินว่าตลาดน้ำมันดิบจะขาดดุล 1-2mbps ในเดือนธันวาคม การทำลายอุปสงค์อาจทำให้ตลาดน้ำมันดิบกลับมาสมดุลได้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการผลิตของ OPEC+ หรือการระบายสต็อก SPR
OPEC+ ตกที่นั่งลำบาก
ความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ส่งผลกระทบต่อการลดราคาน้ำมันดิบมากกว่าการระบายสต็อก SPR (USD:50mb, อื่นๆ: 20mb) ในเดือนธันวาคม แม้ว่ากลุ่ม OPEC+ จะขู่ว่าจะระงับการเพิ่มกำลังการผลิต (400kbpd) เพื่อตอบโต้การระบายสต็อก แต่เราเชื่อว่าน่าจะไม่เกิดขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงสูงอยู่ อย่างไรก็ตาม จากราคาน้ำมันดิบที่ร่วงแรงและอาจมีการทำลายอุปสงค์ กลยุทธ์จึงไม่ชัดเจน การตัดสินใจของ OPEC+ ขึ้นอยู่กับอุปสงค์/อุปทานที่แท้จริง และอาจเร็วเกินไปที่จะสรุปผลกระทบของสายพันธุ์ใหม่นี้ เรามองว่ากลุ่ม OPEC+ จะใช้ความระมัดระวัง ระงับการเพิ่มกำลังผลิตในเดือนมกราคม และจะทบทวนการตัดสินใจทุกเดือน ซึ่ง OPEC+ จะประชุมในสัปดาห์หน้า
ผลกระทบต่อกลุ่มพลังงาน แต่ IVL และ PTT ดีขึ้น
เราคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากยังเร็วเกินไปที่จะสรุปความรุนแรงของสายพันธุ์ใหม่นี้ได้ แต่ก็ยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด ความไม่แน่นอนจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น เรายังคงมุมมองบวกอย่างระมัดระวัง โดยมองว่าไทยจะไม่ออกมาตรการเข้มงวดใหม่อีก แต่สถานการณ์ยังคงไม่แน่นอน มาตรการป้องกันการระงับเที่ยวบินอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อสเปรดน้ำมันเครื่องบิน เมื่อฤดูขับรถในฝั่งตะวันตกหมดลง สเปรดของน้ำมันเบนซินจะลดลง ซึ่งต้องจับตาค่าการกลั่น ที่น่าสนใจคือ เราอาจเห็นส่วนต่างของสารเคมีเพิ่มขึ้นจากราคาแนฟทาที่ลดลง (สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ) ในขณะที่นโยบายการควบคุมแบบคู่ขนานของจีนทำให้ราคาเคมีภัณฑ์ในภูมิภาคสูงขึ้น ในบรดาหุ้นที่เราศึกษา IVL และ PTT อยู่ในสถานะที่ค่อนข้างดีกว่า โดยสเปรด PET แบบบูรณาการเพิ่มขึ้น 53% MoM เป็น 400 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ในตลาดโพลีเอสเตอร์ที่ตึงตัวในจีน (กระทบ 55% ของปริมาณ PET ของ IVL) PET คิดเป็นประมาณ 50% ของ EBITDA ของ IVL ความต้องการ PET ยังคงดีในช่วงการระบาดของ Covid19 ที่ผ่านมา ความเสี่ยงที่สำคัญคือข้อจำกัดในการเดินทางในยุโรป (33% ของธุรกิจของ IVL) ในขณะที่ PTT ทำได้ดีกว่าในอดีตในช่วงที่มีความผันผวน/ความไม่แน่นอน เนื่องจากพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายและธุรกิจก๊าซที่มีเสถียรภาพ จากการประเมินมูลค่าปัจจุบัน เราเห็นแนวโน้มกำไรสูงในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดีที่ 5.9% ในปี 65
Analyst
Kaushal Ladha
(66) 2658 5000 ext 1392
Kaushal.l @maybank-ke.co.th
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ