- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 November 2021 23:45
- Hits: 8176
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-11-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 19 พฤศจิกายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
แกว่งขึ้น :
กระแสเงินทุนยังไหลเข้า
วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ในกรอบแนวรับ 1,640 จุด และแนวต้าน 1,660 จุด เน้นหุ้นที่ดี มี Growth โดย ATO Picks แนะนำ “EPG, EA”
EPG
แนวโน้มงบช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะดีขึ้น หลัง Covid-19 ผ่อนคลาย ปัญหาเรือขาดแคลนดีขึ้น รวมถึงมีการปรับราคา ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับ Covid-19 ร่วม 20 ล้านบาท เหมือนไตรมาสก่อน และปี 65 จะเติบโตดี และ ทำสถิติสูงสุดใหม่ แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 15 บาท
EA
คาด 4Q64 ฟื้นตัวจากการคลายล็อกดาวน์หนุนการใช้น้ำมันดีเซลมากขึ้น ผสานการ COD โรงงานแบตเตอรี่ใน 4Q64 หนุนกำไรเพิ่มขึ้น อีกทั้งรายได้ของโรงไฟฟ้าพลังงานงานแสงอาทิตย์ที่คาดจะขยับขึ้นใน 4Q64 หลังผ่านช่วงหน้าฝน และการทยอยส่งมอบรถ EV Bus เพิ่มเติมใน 4Q64 มากยิ่งขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 80 บาท
INVESTMENT THEME
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน US ลดลงแต่ต่ำคาด: วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์พบว่ายังคงปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2.68 แสนราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.69 แสนราย แต่ลดลงน้อยกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ 2.6 แสนราย แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะสูงกว่าคาด แต่ก็ถือว่ายังคงเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่สหรัฐฯเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นต้นมา ซึ่งบ่งชี้สัญญาณภาคแรงงานสหรัฐฯยังคงขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง
กระแสเงินทุนไหลเข้ายังคงพยุง SET : หากพิจารณาเม็ดเงินต่างชาติในปีนี้จะพบว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 5.8 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าลงรายละเอียดเป็นรายเดือนจะพบว่า ในช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ค.) ต่างชาติขายสุทธิทุกเดือน แต่เริ่มกลับมาทยอยซื้อสุทธิในช่วง 3 เดือนถัดมา (ส.ค.-ต.ค.) โดยซื้อสุทธิมากขึ้น จาก 5.4 พันล้านในเดือน ส.ค., 1.1 หมื่นล้านในเดือน ก.ย. และ 1.5 หมื่นล้านในเดือน ตค. สอดคล้องกับการติดเชื้อในประเทศที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ผสานกับการเริ่มคลายล็อกดาวน์ รวมถึงการเดินหน้าเปิดประเทศอย่างจริงจังมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้นเราเชื่อว่าในช่วงถัดไปเม็ดเงินต่างชาติยังคงมีโอกาสไหลเข้าตอบรับกับภาพเศรษฐกิจไทยที่กำลังฟื้นตัว ถือเป็นบวกต่อ SET Index ที่ยังคงมีแนวโน้มแกว่งขึ้นในระยะถัดไป
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งขึ้น แรงเก็งกำไรโดดเด่นในกลุ่มสื่อสาร โรงไฟฟ้า โดย SET ปิดที่ 1,651.02 (+6.42 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.7 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.3 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 657 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 751 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 18,567 สัญญา)
EYES ON
18 พ.ย. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
Ngern Tid Lor PCL (TIDLOR TB)
กำไรโตแกร่ง NPL coverage สูง
BUY
Share Price THB 38.25
12 m Price Target THB 45.00 (+18%)
Previous Price Target THB 45.00
หุ้นเด่น ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค
เราคาดว่า TIDLOR จะรายงานการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งในปี 2564-2565 จาก NIM และรายได้ประกันภัยเติบโตดี คงแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 45 บาท (P/BV ปี 65 ที่ 4.2 เท่า P/E 25 เท่า และ LT ROE 17.9%) เราชอบ TIDLOR เนื่องจากมีแนวโน้มรายได้ดีกว่าบริษัทอื่นจาก NPL coverage ที่สูงกว่า ซึ่งช่วยลดการตั้งสำรองและลดอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จากการปรับปรุงประสิทธิภาพในระยะยาว ความเสี่ยงที่สำคัญคือการเติบโตของรายได้ที่ชะลอตัวและคุณภาพสินทรัพย์อ่อนแอ
ความต้องการสินเชื่อเพิ่มขึ้น ต้นทุนเงินทุนลดลงใน 4/64
การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ผู้บริหารยังคงเป้าหมายทางการเงินที่การเติบโตของสินเชื่อ 15-20% และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม 25% สำหรับปีนี้ โดยเผยว่าอุปสงค์สินเชื่อฟื้นตัวตั้งแต่เดือน ก.ย. 64 และคาดว่ารายรับค่าธรรมเนียมจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากยอดขายประกันวินาศภัยที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/64 สัดส่วนการประกันภัยรถยนต์ชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของยอดขายกรมธรรม์ทั้งหมด ณ ปัจจุบัน จาก 39-43% ในไตรมาส 1/64-3/64 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการใช้รถที่สูงขึ้น ต้นทุนทางการเงินคาดลดลง 10-15bp QoQ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ที่ลดลง
ต้นทุนต่อรายได้เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
CFO เผย opex จะเพิ่ม QoQ เนื่องจากบริษัทจะบันทึกค่าใช้จ่ายโฆษณาทางทีวี การขนส่งและแรงจูงใจสำหรับพนักงานในไตรมาส 4/64 เราคาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 57.4% ในไตรมาส 4/64 จาก 56.2% ในไตรมาส 3/64 ด้านคุณภาพสินทรัพย์ สินเชื่อภายใต้โครงการบรรเทาหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 7.9 พันล้านบาทในไตรมาส 3/64 (ประมาณ 14% ของสินเชื่อทั้งหมด) จาก 2.2 พันล้านบาทในไตรมาส 2/64 (4% ของสินเชื่อทั้งหมด) ต้นทุนสินเชื่อและ NPL Ratio คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/64 ต้นทุนด้านเครดิตอยู่ที่ <1.5% และอัตราส่วน NPL ที่ <2.0% ในปีนี้
คาดกำไร CAGR 3 ปี โต 28% ในช่วงปี 63-66
เราคาดว่ารายได้จะเติบโต 33% YoY และ 27% YoY ในปีนี้และปีหน้า จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจากทั้ง NII และ non-NII นอกจากนี้ เรายังคาดการณ์อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงจาก 61.5% ในปี 63 เป็น 56.0% ในปี 65 ด้วยภาระหนี้จากการดำเนินงานที่ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ OPEX เติบโตในอัตราที่ช้ากว่ารายรับ เนื่องจาก NPL coverage อยู่ที่ 326% ในไตรมาส 3/64 เราคาดว่า TIDLOR จะกลับรายการสำรองส่วนเกิน เราจึงตั้งสมมติฐานต้นทุนเครดิตที่ 90bp ในปี 65
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
Eastern Polymer Group (EPG)
3Q จะดีขึ้นและปี 2564/65 จะเติบโตทำสถิติ
BUY
Share Price THB 11.10
12 m Price Target THB 15.00 (+35%)
Previous Price Target THB 15.00
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการ 3Q64/65 จะดีขึ้น หลังจาก Covid-19 ผ่อนคลาย ปัญหาเรือขาดแคลนดีขึ้น รวมถึงมีการปรับราคา ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเกี่ยวกับ Covid-19 ร่วม 20 ล้านบาท เหมือนไตรมาสก่อน และ แนวโน้มปี 2564/65 จะเติบโตดี และ ทำสถิติสูงสุดใหม่ แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP โดยได้แรงหนุนสำคัญจากตลาดต่างประเทศ ซึ่ง EPG มีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศประมาณ 60-70% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E 19.0 เท่า ต่ำกว่าเฉลี่ย 19.4 เท่า มี EV/EBITDA 13.2 เท่า มีอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.7% เราคงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC 8%, LTG 3%) ได้เท่ากับ 15 บาท
ผู้บริหารคงเป้าหมายปี 2564/65 จะเติบโตดี
การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (18 พ.ย.) ผู้บริหารคงมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการ ปี 2564/65 (เม.ย. 2564 – มี.ค. 2565) จะเติบโตดี คงตั้งเป้ายอดขายเติบโต 12-15% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 29%-32% เทียบกับปีก่อน 31.1% ธุรกิจของ EPG ทั้งสามธุรกิจ มีแนวโน้มจะเติบโต คือ 1) ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) ตั้งเป้าจะเติบโต 10-12% แรงหนุนกำลังการผลิตใหม่ในสหรัฐฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 41-43% ใกล้เคียงปีก่อน 2) ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) ตั้งเป้าจะเติบโต 20-23% แรงหนุนจากส่งออก และ เก็บเกี่ยวการลงทุนในอดีต มีอัตรากำไรขั้นต้น 30-33% ใกล้เคียงปีก่อน และ 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 5-8% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 18-20% ใกล้ปีก่อน
แนวโน้มไตรมาส 3Q64/65 จะดีขึ้น
ผลประกอบการ 3Q64/65 (ต.ค.-ธ.ค.) มีแนวโน้มจะดีขึ้นจาก 2Q64/65 ที่มีกำไรปกติเท่ากับ 377 ล้านบาท (-13%QoQ, +37%YoY) ซึ่งยอดขายมีแนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเดือน ต.ค. – พ.ย. เติบโตดีขึ้น หลังสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ผ่อนคลายลง ปัญหาเรือขาดแคลนเริ่มดีขึ้น นอกจากนี้ได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจ EPP จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจาก 12.3% กลับสู่ระดับปกติประมาณ 18% รวมถึงไม่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ Covid-19 ซึ่งไตรมาสก่อนสูงถึง 20 ล้านบาท
แนวโน้มกำไรปี 2564/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่
ผลประกอบการ 6 เดือนแรก ยอดขาย และ กำไร เติบโตสูงถึง 38% และ 124% และ มีสัดส่วนคิดเป็น 51% และ 52% ของประมาณการทั้งปีเรา ซึ่งเราประเมิน ยอดขายปี 2564/65 เท่ากับ 11,697 ล้านบาท โต 22% และมีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,652 ล้านบาท โต 36% ประมาณการของเรายังค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และมีอัพไซด์
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ