- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 November 2021 11:12
- Hits: 5145
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 18-11-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 18 พฤศจิกายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
บาทแข็งสุดรอบ 2 เดือน
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picks แนะนำ “DTAC, JMART”
DTAC
คาดแนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q64 จะปรับตัวดีขึ้น โดยคาดรายได้ค่าเฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) จะฟื้นตัว รวมถึงอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้น หลังการคลายล็อกดาวน์ ผสานการเปิดประเทศซึ่งคาดจะเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนระยะกลางคาดการแข่งขันของกลุ่มจะชะลอลง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 45.1 บาท
JMART
คาดกำไร 4Q64 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ระดับ 350-400 ลบ. +30%QoQ มาจากทั้งกลุ่มการเงิน (JMT-SINGER) กำไรเติบโตได้ตามขนาดพอร์ตที่ขยายตัวทุกไตรมาส และการพลิกมีกำไรของ KBJ จากปริมาณการตั้งสำรองที่ลดลง ด้านมือถือจะฟื้นตัวแรง QoQ จากสาขาที่กลับมาเปิดได้
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 50.5 บาท
INVESTMENT THEME
เงินเฟ้อยังกดดันตลาด: วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านใหม่เดือนตุลาคม หดตัว -0.7%MoM สวนตลาดคาดที่ประเมินจะขยายตัว +1.5%MoM โดยมาจากราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น รวมทั้งการขาดแคลนแรงงาน สะท้อนถึงความกังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อในระดับสูง ยังคงเป็นปัจจัยที่กดดัน
ค่าเงินบาทแข็งสุดรอบ 2 เดือน : แม้ว่าในระยะสั้นหากพิจารณา Dollar Index จะพบว่าแข็งค่าแรงขึ้นทดสอบระดับ 96 จุด ซึ่งน่าจะมาจากความกังวลต่อประเด็นเงินเฟ้อ รวมทั้งโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด (CME FEDWatch tool บ่งชี้ว่าตลาดคาด FED อาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมิถุนายน 65) แต่อย่างไรก็ดีหากเทียบระว่าง Dollar กับ ค่าเงินบาท จะพบว่าบาทมีแนวโน้มที่แข็งค่ากว่าเมื่อเทียบ Dollar โดยล่าสุดค่าเงินบาทเข้าทดสอบระดับ 32.6 บาทต่อดอลล่าร์ ถือเป็นการแข็งค่าสุดในรอบกว่า 2 เดือน สอดคล้องกับการที่ไทยเริ่มคลายล็อกดาวน์ 1 ตค. และเดินหน้าต่อการเปิดประเทศ แบบที่ไม่ต้องกักตัว (63 ประเทศกลุ่มเสี่ยงต่ำ) ในช่วงเดือน พย. ซึ่งล้วนทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ผสานรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เพิ่มความหวังต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปีหน้าจะกลับมาเกินดุล จะหนุนกระแสเงินทุนไหลเข้า ทำให้บาทยังมีโอกาสแข็งค่า
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideways แรงเก็งกำไรเด่นในกลุ่มไฟแนนซ์ จากความหวัง 4Q64 กลับมาฟื้นตัว โดย SET ปิดที่ 1,644.60 (+0.59 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.6 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1,352 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,148 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 19,297 สัญญา)
EYES ON
17 พ.ย. ตัวเลขการสร้างบ้าน US, ยอดการอนุญาตก่อสร้าง US, สต๊อกน้ำมันดิบ US, ดัชนี CPI ยูโรโซน
18 พ.ย. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
Berli Jucker (BJC)
มีสัญญาณฟื้นตัว
BUY
Share Price THB 34.75
12 m Price Target THB 42.00 (+21%)
Previous Price Target THB 42.00
ประเด็นการลงทุน
ยอดขายมีสัญญาณฟื้นตัวหลังเปิดเมือง โดยในเดือน ต.ค. SSSG บิ๊กซีพลิกมาเป็นบวก และพื้นที่เช่ามีอัตราเข้าเช่าเพิ่มขึ้น กลุ่มบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋องมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังบริหารจัดการต้นทุนได้ดี คาดว่ากำไร 4Q64 ของ BJC ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ QoQ และเป็นกำไรสูงสุดของปี อีกทั้งเติบโตต่อเนื่องในปีหน้าจากฐานต่ำ แนะนำ ซื้อ BJC ราคาเป้าหมาย 42 บาท (DCF, WACC 7.1%, G.3%)
กำไร 3Q64 ลดลงมากจากผลประกอบการบิ๊กซี
กำไรปกติ 3Q64 เท่ากับ 301 ล้านบาท (-62% QoQ, -72% YoY) ต่ำกว่าที่เราคาด 39% จากรายได้ค่าเช่าน้อยกว่าคาด และส่วนแบ่งขาดทุนเพิ่มขึ้นจากธุรกิจแก้วในมาเลเซียและเวียดนามที่ได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ อีกทั้งบิ๊กซีมีการบันทึกขาดทุนจากการขายเงินลงทุนของบริษัทย่อย กำไรของบิ๊กซีลดลงมากจากการล็อกดาวน์ทำให้ SSSG -6.6% รายได้ค่าเช่าลดลง 36% YoY ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีกำไรลดลงเล็กน้อยจากการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี ธุรกิจสินค้าเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะจากยอดขายกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับโควิด ส่วนธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคมีกำไรเพิ่มขึ้น
มีสัญญาณฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง
การเปิดเมืองทำให้ SSSG ของบิ๊กซีในเดือน ต.ค. พลิกมาเป็นบวกเล็กน้อย โดยสาขาในกรุงเทพฯ ฟื้นตัวได้ดีกว่าต่างจังหวัด ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวได้เร็ว พื้นที่เช่ามีอัตราเข้าเช่าเพิ่มขึ้นโดยร้านค้าทยอยกลับมาเปิดเกือบทั้งหมดแล้ว และส่วนลดค่าเช่าน้อยลงเหลือต่ำกว่า 10% ส่วนกลุ่มธุรกิจของ BJC มียอดขายเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 11% YoY โดยกลุ่มบรรจุภัณฑ์ขวดแก้วมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากการที่ลูกค้ากลุ่มส่งออกอาหารมีการส่งออกได้มากขึ้น อีกทั้งความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กระป๋องในเวียดนามฟื้นตัวชัดเจนหลังจากคลายล็อกดาวน์ ในด้านต้นทุนยังมีการบริหารจัดการได้ดีจากการใช้ cost plus และได้ผลบวกจากการประหยัดจากขนาด กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคได้ผลบวกจากการเปิดเมืองและเข้าสู่ไฮซีซั่นจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่มีความกดดันด้านราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้นจากน้ำมันปาล์มและค่าขนส่ง อย่างไรก็ดี บริษัทมีมาตรการประหยัดต้นทุนและการปรับราคาขายขึ้นทางอ้อม ช่วยลดผลกระทบได้บางส่วน
กำไรจะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า
คาดกำไรจะฟื้นตัวชัดเจนในปี 2565 จากทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะบิ๊กซีซึ่งคาดว่ายอดขายสินค้ากลุ่มอุปโภคจะฟื้นตัวหลังจากถูกกระทบมากในช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ กลุ่มบรรจุภัณฑ์มีการออกสินค้าใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น เช่น กระป๋องขนาดใหม่ ส่วนกลุ่มขวดแก้วคาดว่าจะเติบโตจากการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มเครื่องดื่ม
ความเสี่ยง: โควิดระบาดรอบใหม่ ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
Mega Lifesciences (MEGA TB)
กำไรโตจากเทรนด์บริโภควิตามิน
BUY
Share Price THB 53.25
12 m Price Target THB 63.50 (+19%)
Previous Price Target THB 55.00
กำไร 3Q64 โตแกร่ง เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 63.50 บาท หุ้นเด่น
กำไรหลัก 3Q64 โตแกร่ง 14% QoQ, 39% YoY แตะ 535 ล้านบาท หนุนโดยรายได้จากธุรกิจแบรนด์โตแรง 39% YoY เป็น 2 พันล้านบาท จากการบริโภควิตามินเพิ่มขึ้นในช่วงโควิด รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายเติบโต 1% YoY เป็น 1.9 พันล้านบาท จากภาวะการกักตุนสินค้าในช่วง Covid ระบาดหนักในเมียนมาร์ใน 3Q63 (ส่วนแบ่งรายได้ 75%) ส่งผลให้ฐานสูงสำหรับไตรมาส 3/64 เนื่องจากส่วนต่างระหว่างธุรกิจติดแบรนด์มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงที่ 67.5% เทียบกับธุรกิจจัดจำหน่ายที่ 17% การเติบโตของรายได้ที่สูงจึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมสูงขึ้นเป็น 43.3% เพิ่มขึ้นจาก 38.4% ในปีที่แล้ว และส่งผลให้สามารถทำกำไรแข็งแกร่งในไตรมาส 3/64 เราเชื่อว่าแนวโน้มที่ดีจะดำเนินต่อไปในไตรมาส 4/64 เนื่องจากเป็นไฮซีซันและการบริโภควิตามินเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกำไรที่แข็งแกร่งใน 3Q64 เราจึงเพิ่มคาดการณ์กำไรหลักขึ้น 19% ในปี 64 และ 12% ในปี 65 และทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้น 15%
ปี 65 การเติบโตจะชะลอลง
ผู้บริหารคาดว่าการบริโภควิตามินอาจทำรายได้เติบโตน้อยลงในปี 65 เทียบกับปี 64 เนื่องจากโควิด-19 คลี่คลายและความกลัวต่อโควิดน้อยลง เราคาดการณ์การเติบโตของรายได้ธุรกิจแแบรนด์ 10% ในปี 65 (เทียบกับ 24% ในปี 64) และ 12% สำหรับธุรกิจจัดจำหน่าย (12% ในปี 64) สำหรับธุรกิจจัดจำหน่าย การเติบโตในกัมพูชาและเวียดนามยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่เมียนมาร์อาจเพิ่มขึ้นในระดับปานกลาง เราคาดว่ากำไรหลักจะเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในปี 65 แม้ว่ารายรับจะเพิ่มขึ้น 11% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 41.1% ในปี 65 จาก 42% ในปี 64 เนื่องจากการเติบโตของรายได้ในธุรกิจจัดจำหน่ายแซงหน้าแบรนด์ เราคาดว่ากำไรหลักจะเติบโตเป็นปกติที่ 12% ในปี 66
ระยะยาว กำไรโตแกร่งต่อเนื่อง
ผู้บริหารคาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปี 68 จากระดับปี 62 สะท้อนความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวที่ 12.3% CAGR – จากการมุ่งเน้นในกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว (ส่วนแบ่งรายได้ 87% ในปี 64) ด้วยความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งในปีนี้และการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพที่แข็งแกร่ง เราประเมินกำไรจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวหรือเพิ่มขึ้น 126% จากปี 63-68 หรือคิดเป็น 14.5% CAGR
ราคาหุ้นถือว่าถูก ซื้อขายที่ PE ปี 65 ที่ 23 เท่า
เราใช้วิธี DCF ประเมินราคาเป้าหมาย โดยอิงตามปี 65, WACC 8.1%, เติบโต 3.2% หุ้น MEGA ปัจจุบันซื้อขายที่ PE ปี 65 ที่ 23 เท่า ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพในภูมิภาค จากแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ความเสี่ยงที่สำคัญคือความผันผวนจากการดำเนินงานในตลาดเกิดใหม่
Yuwanee Prommaporn
(66) 2658 5000 ext 1393
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ