- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 15 November 2021 16:57
- Hits: 6227
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 15-11-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 15 พฤศจิกายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
จับตา GDP ไทย
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,620 จุด และแนวต้าน 1,640 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picks แนะนำ “JMART, SCC”
JMART
กำไร 3Q64 ดีกว่าคาด 10% จากธุรกิจการเงินในกลุ่มที่รักษาการเติบโตได้ดี โดยคาด 4Q64 มีลุ้นทำ New High จากธุรกิจค้าปลีกที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อคดาวน์ ส่วนปี 65-66 คาดได้แรงหนุนเพิ่มจากการ Synergy กับ VGI-U จะช่วยสร้างผลบวกทั้งด้านการเงินและธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 50.5 บาท
SCC
คาดแนวโน้มกำไร 4Q64 ฟื้นตัวในทุกธุรกิจ นำโดย 1) ธุรกิจซีเมนต์กลับมาดีขึ้นหลังแคมป์กลับมาก่อสร้างอีกครั้ง และเริ่มมีการปรับราคาขึ้น 2) ธุรกิจปิโตรเคมีรับอานิสงส์บวกจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ บวกจากเศรษฐกิจอาเซียนที่กลับมาดี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 520 บาท
INVESTMENT THEME
Dollar แข็งสุดในรอบ 16 เดือน : แนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงปลายปี และอาจจะต่อเนื่องในช่วงต้นปีหน้า ส่งผลต่อการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงถัดไป ซึ่งตลาดยังคงมีความกังวลต่อดอกเบี้ยที่อาจจะเร่งตัวขึ้นเร็วมากกว่าคาด (ปัจจุบันมุมมองตลาดประเมิน FED จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า) ดังนั้นในระยะสั้นจากความกังวลเรื่องดอกเบี้ยอาจส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์จะเร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด Dollar Index ปรับขึ้นทะลุระดับ 95 จุด ทำจุดสูงสุดในรอบ 16 เดือน แต่อย่างไรก็ดีเราคาดราคาพลังงงานจะค่อยๆชะลอลงในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งน่าจะช่วยให้ประเด็นนี้คลี่คลายลง
คาด 3Q64 GDP ไทย -1.3% : วันนี้แนะติดตามการรายงาน GDP ไทย ประจำไตรมาส3 (9:30 น.) โดยตลาดคาดจะหดตัว -1.3%YoY (MKET คาด -3.4%YoY) แรงกดดันจากการปิดเมืองในช่วงที่ผ่านกดดันต่อภาคการบริโภค และการลงทุนหดตัว แต่อย่างไรก็ดีเราคาดว่ามุมมองของสภาพัฒน์ฯต่อแนวโน้มในช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะกลับมาขยายตัวขึ้น หลังการเปิดประเทศ ผสานสถานการณ์ COVID-19 ในไทยก็เริ่มมีแนวโน้มที่ผ่อนคลายลงเรื่อยๆ ดังนั้นคาดจะส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปียังคงมีโอกาสที่จะค่อยๆปรับตัวขึ้น
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET แกว่งแคบ ตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ทยอยออกมา โดย SET ปิดที่ 1,633.94 (+1.50 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.0 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 6.4 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 0.81 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 157 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 7,401 สัญญา)
EYES ON
15 พ.ย. 3Q64 GDP ไทย, ดุลการค้ายูโรโซน, ยอดค้าปลีกของจีน, ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจีน
16 พ.ย. ยอดค้าปลีก US, ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US, 3Q64 GDP ยูโรโซน
17 พ.ย. ตัวเลขการสร้างบ้าน US, ยอดการอนุญาตก่อสร้าง US, สต๊อกน้ำมันดิบ US, ดัชนี CPI ยูโรโซน
18 พ.ย. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
AAPICO Hitech (AH)
3Q64 กำไรลดลง คาดจะฟื้นตัว
BUY
Share Price THB 21.90
12 m Price Target THB 28.00 (+28%)
Previous Price Target THB 28.00
ผลประกอบการ 3Q64
AH ประกาศผลประกอบการ 3Q64 มีกำไรสุทธิที่ชะลอตัวลงต่อเหลือ 235 ล้านบาท (-6%QoQ, -22%YoY) ใกล้เคียงกับที่เราคาดหมายจะมีกำไร 220 ล้านบาท ถ้าหากหักกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจะมีกำไรปกติเพียง 127 ล้านบาท (-39%QoQ, -49%YoY) ผลประกอบการถูกกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 มีการล็อกดาวน์ และ ปัญหาไมโครชิปขาดแคลน ทำให้ยอดขายลดลงเหลือ 4,244 ล้านบาท (-12%QoQ, -9%YoY) และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเหลือ 9.3% จาก 11.6% ในไตรมาสก่อน และ 10.0% ในปีก่อน นอกจากนี้รายได้อื่นก็ปรับลดลงเหลือ 82 ล้านบาท (-22%QoQ, -50%YoY) ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนดีขึ้น 64 ล้านบาท (+12%QoQ, +31%YoY) รวม 9 เดือนแรกมีผลประกอบการที่เด่น ยอดขาย 14,663 ล้านบาท เติบโต 26% และ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 895 ล้านบาท ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 9 ล้านบาท
แนวโน้มผลประกอบการ
แนวโน้ม 4Q64 ปัญหาไมโครชิปขาดแคลนที่ค่อยๆคลี่คลายลง รวมถึงปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น คาดผลประกอบการไตรมาสสี่จะกลับมาเติบโตดีใหม่ ซึ่งสภาอุตสาหกรรมรถยนต์ประเมินยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้ 1.6 ล้านคัน เติบโต 12% ส่วน AH จะมีทิศทางเติบโตดีกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์รวม เราประเมินยอดขาย 20,950 ล้านบาท โต 22% และ มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท โต 655%YoY กำไรสุทธิ 9 เดือนแรก มีสัดส่วนสูงถึง 80% ของประมาณการทั้งปี ทำให้ประมาณการของเรามีอัพไซด์ เราคงประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม
คำแนะนำการลงทุน
ราคาหุ้นปัจจุบันมี Valuation ที่ถูก ซื้อขาย P/E ปี 2564 ที่ต่ำ 7.7 เท่า P/BV 0.9 เท่า และ อัตราเงินปันผลตอบแทน 5.7% เราประเมินราคาเป้าหมายบนฐานค่าเฉลี่ย Forward P/E 10 ปี ประมาณ 9.9 เท่า ได้เท่ากับ 28 บาท คงแนะนำ ซื้อ
ความเสี่ยง
ปัญหาชิปและชิ้นส่วนขาดแคลน / การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทั่วโลกยังไม่แน่นอน / ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจ / แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งในและต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอน
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Gulf Energy Development (GULF TB)
กำไรหลักพุ่งจากเงินปันผล INTUCH
HOLD
Share Price THB 41.75
12 m Price Target THB 45.50 (+9%)
Previous Price Target THB 45.50
คงแนะนำ ถือ ราคาหุ้นสะท้อนการเติบโตแล้ว
กำไรหลัก 9 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 6 พันล้านบาท คิดเป็น 75% ของประมาณการปี 64 ของเรา เราคงประมาณการไม่เปลี่ยนแปลง เราประเมินว่ากำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) ปี 65 จะเติบโต 35.5% YoY จากการเพิ่มกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 29% แม้ว่าการเติบโตของ GULF จะแซงหน้าคู่แข่ง แต่เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยบวกนี้แล้ว ทั้งนี้ ราคาหุ้น GULF พุ่งขึ้น 23% YTD ซึ่งสูงกว่าหุ้นกลุ่มพลังงานที่เราศึกษาโดยเฉลี่ย 22% ราคาหุ้นอาจเพิ่มขึ้นได้อีกหลังจากที่อ่อนตัวลงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัพไซด์เริ่มจำกัดแล้ว คงคำแนะนำ ถือ และคงราคาเป้าหมายที่ 45.5 บาท (5% WACC, 2.7% LTG)
กำไรหลักเพิ่มขึ้น 64% QoQ หนุนโดยเงินปันผลจาก INTUCH
NPAT 3Q64 อยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท (+12.9% QoQ, +63.7% YoY) GULF บันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 767 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กำไรหลัก (ไม่รวม FX) เพิ่มขึ้น +63.7% QoQ, +73% YoY เป็น 2.2 พันล้านบาทและสอดคล้องกับการประมาณการของตลาด ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้รับแรงหนุนจากเงินปันผลของ INTUCH 1.7 พันล้านบาทและการรับรู้ผลการดำเนินงานของ GSRC 1 อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 3/64 ลดลงเหลือ 24.6% (จาก 25.9% ในไตรมาส 3/63) เนื่องจากราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้น +14% YoY ซึ่งกดดันอัตรากำไรของ SPP ส่วนแบ่งกำไรหลักจากบริษัทร่วมลดลง -5.8% QoQ, -7.3% YoY เป็น 690 ล้านบาท เนื่องจากปริมาณ IPP 2 แห่งที่ลดลง (GJP) และแรงกดดันด้านอัตรากำไรจาก SPP 7 รายเนื่องจากราคาก๊าซปรับตัวสูงขึ้น
โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติจะขับเคลื่อนการเติบโตต่อไป
รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 4.9% QoQ, 42.1% YoY เป็น 1.04 หมื่นล้านบาท จากการที่ GSRC หน่วยที่ 1 เริ่มต้นขึ้นและการจ่ายพลังงานที่เพิ่มขึ้น (ราคาขายให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น +5-10% QoQ) การจัดส่งไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงลดลง -7% QoQ, +40% YoY เมื่อเทียบเป็น % ของรายรับทั้งหมด รายได้จากโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติลดลงที่ 75% จาก 84% ในปีที่แล้ว เนื่องจากเงินสมทบจากเงินปันผลของ INTUCH และพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะเปลี่ยนกลับเป็นระดับประวัติศาสตร์เนื่องจากหน่วยที่เหลือของ GSRC (IPP ที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง) ออนไลน์ รายได้จากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น +14% QoQ เป็น 1.3 พันล้านบาทเนื่องจากปัจจัยลมตามฤดูกาล (BKR2) แต่รายรับจากพลังงานแสงอาทิตย์ GTN1/GTN2 (119MW) ของเวียดนามลดลง จากผลกระทบของ Covid-19 ในไตรมาส 3/64
GSRC หน่วย 3-4 COD ในปี 2565 ราคาก๊าซไม่กระทบ IPP
กำลังการผลิตติดตั้งรวมของ GSRC คือ 2,650 เมกะวัตต์ (4 หน่วย ๆ ละ 662 เมกะวัตต์) โดยหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ออนไลน์ในเดือนมีนาคม 64 และเดือนตุลาคม 64 หน่วยที่ 3-4 มีกำหนดจะออนไลน์ในพร้อมกันในปีหน้า GSRC จะคิดเป็น 36% ของกำลังการผลิต GULF ทั้งหมดในปี 65 การเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซในอนาคตของ GULF คือ IPP (GSRC ในปี 2565, GPD ในปี 2566) ถือเป็นบวก เนื่องจากอัตรากำไรของ IPP ไม่ได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซที่สูงขึ้น (กลไกการส่งผ่าน) พอร์ตโฟลิโอที่เชื่อมโยงกับ IU ของ GULF (10%) จะเห็นแรงกดดันด้านอัตรากำไรจากราคาก๊าซที่สูงขึ้น
Kaushal Ladha, CFA, CESGA
(66) 2658 5000 ext 1392
Tipco Asphalt (TASCO)
แนวโน้มจะฟื้นตัว หลัง 3Q64 ทรุดลง
BUY
Share Price THB 18.20
12 m Price Target THB 21.50 (18%)
Previous Price Target THB 21.50
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 จะฟื้นตัวเด่นขึ้น หลังจาก 3Q64 มีกำไรทรุดลง แรงหนุนราคายางมะตอยที่ปรับตัวสูงขึ้นแรง ในขณะที่ TASCO มีสต็อกน้ำมันดิบราคาถูกเข้ามากลั่นถึงสิ้น 1Q65 และ จะได้เงินประกันเข้ามาช่วย ผู้บริหารตั้งเป้าหมายปริมาณขายปี 2564-2565 ต่ำ 1.25 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 29% จากข้อจำกัดด้านชัพพลาย จึงเน้นตลาดรีเทลซึ่งมีกำไรดี ราคาหุ้นปัจจุบันปรับลดลงจนมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายเราที่ 21.50 บาท บนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปี Forward P/E+1SD = 14.1 เท่า ตามดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ดังนั้น เราจึงเพิ่มคำแนะนำ เป็น ซื้อ จากเดิม ถือ
3Q64 กำไรลดลงต่ำกว่าคาด
3Q64 มีกำไรสุทธิที่ทรุดลงเหลือเพียง 378 ล้านบาท (-56%QoQ, -80%YoY) ต่ำกว่า Consensus ที่คาดกำไรไว้ประมาณ 400-450 ล้านบาท โดยผลประกอบการได้ถูกฉุดจากจากยอดขายที่ลดลงเหลือ 6,866 ล้านบาท ล้านบาท (-11%QoQ, -20%YoY) จากข้อจำกัดชัพพลายทำให้เลือกตลาดขาย และ มี Hedging Loss ที่สูง 204 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นรายการปกติ จากนโยบายป้องกันความเสี่ยง และต้นทุนน้ำมันดิบที่สูงขึ้นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 12.4% จาก 17.9% ในไตรมาสก่อน และ 29.9% ในปีก่อน
แนวโน้ม4Q64จะฟื้นตัวดีขึ้น คงประมาณการ
ราคายางมะตอยตลาดต่างประเทศปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นเป็นประมาณ 455 เหรียญ/ตัน เพิ่มขึ้น 16%QTD และ ราคาในประเทศปรับขึ้นประมาณ 10%QTD จากภาวะตึงตัวของชัพพลาย และ ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น คาดจะหนุนให้กำไร 4Q64 ดีขึ้น บวกกับจะมีเงินประกันเข้ามาช่วยอีก 271 ล้านบาท ในขณะที่ปริมาณขายผู้บริหารประเมินจะใกล้ไตรมาสก่อน 3 แสนตัน เบื้องต้นประเมินกำไรประมาณ 700-800 ล้านบาท ปี2564 เราคงประมาณการกำไร 2,443 ล้านบาท ลดลง 31%
ปี 2565 ผู้บริหารตั้งเป้าปริมาณขาย 1.25 ล้านตัน เน้นรีเทล
จากการประชุมนักวิเคราะห์ ผู้บริหารยังคงเป้าหมายยอดขายในปี 2564 ต่ำ 1.25 ล้านตัน ลดลง 28% และ ปี 2565 จะยังคงตั้งเป้าหมายปริมาณขาย 1.25 ล้านตันทรงตัวจากปีนี้ เนื่องจากน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่มีราคาสูง และ ให้ Yield ในการกลั่นน้อย 50-60% เทียบกับแหล่งเวเนซูเอลา 70% ทำให้ทาง TASCO จะเน้นลูกค้ารีเทลที่มีมาร์จิ้นดี และ เลือกตลาดขายที่มีกำไรดี โดยปีนี้ TASCO ได้สั่งน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่เข้ามาแล้ว 6 Cargo เมื่อรวมกับสต็อกเก่าจะมีน้ำมันดิบกลั่นเป็นยางมะตอยได้ถึงไตรมาส1Q65 ประเด็นเรื่องการแซงก์ชั่นประเทศเวเนซุเอลาจากสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ TASCO หยุดซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งเวเนซุเอลา โดยเวเนซุเอลาจะจัดให้มีการเลือกตั้งในปลายเดือน พ.ย. นี้ มีพัฒนาการด้านบวก ซึ่งฝ่ายค้านได้ลงเลือกตั้ง และมีผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศ ทำให้เริ่มมีความหวังที่สหรัฐจะผ่อนคลายการคว่ำบาตร
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
PTT Public (PTT TB)
GSP หนุน Gas BU โตแกร่ง
BUY
Share Price THB 37.50
12 m Price Target THB 52.50 (39%)
Previous Price Target THB 53.00
คงคำแนะนำ ซื้อ
ราคาหุ้น PTT ยังอืด YTD อยู่ที่ -9% เทียบกับ PTTEP ที่ขึ้นมา +22% สาเหตุน่าจะมาจาก 1) ขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจน (บริษัทในเครือมีชัดเจนกว่า) 2) มีประเด็นกังวลจากการเปิดเสรีก๊าซและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบต่อปริมาณก๊าซเนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าเริ่มนำเข้า LNG 3) ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแย่ลง แต่เราเริ่มมีมุมมองบวกมากขึ้นต่อ PTT เนื่องจาก GDP ของไทยคาดว่าจะฟื้นตัว 4% ในปี 65 (ประมาณการของ MKE) ความเสี่ยงประเด็นผู้ผลิตไฟฟ้านำเข้า LNG ได้ผ่อนคลายลงในระยะสั้นเนื่องจากราคา LNG ที่สูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยบวกสำหรับบริษัทย่อย (เช่น ราคาน้ำมันดิบสูง การฟื้นตัวของค่าการกลั่น ฯลฯ) กำลังมาแรง คงคำแนะนำ ซื้อ ลด TP ลงจาก 53 บาทเป็น 52 บาท
ผลประกอบการหลัก 3Q64 สูงกว่าคาด 10%
กำไรสุทธิหลังหักภาษี (NPAT) 3Q64 อยู่ที่ 2.36 หมื่นล้านบาท (-3.8% QoQ, 67.5% YoY) รายได้จากการดำเนินงานหลัก 7.12 หมื่นล้านบาท (-4.5% QoQ, >100%) สูงกว่าที่ตลาดคาด 10% ในส่วนของก๊าซ (+6.9%) ถ่านหิน (>100%) และธุรกิจเทรดดิ้ง (>100%) QoQ ผลการดำเนินงานดีมาก โดยวิกฤตด้านพลังงานอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสาเหตุให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์พุ่งสูงขึ้นหนุนอัตรากำไรของทั้งถ่านหินและก๊าซ (GSP) ขณะที่น้ำมันและปิโตรเคมีและการกลั่นฉุดผลกำไรลดลง -35.7% และ -14.1% QoQ ขาดทุนจากอนุพันธ์และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1.18 หมื่นล้านบาทและ 6.4 พันล้านบาท NPAT 9M64 คิดเป็น 76% ของประมาณการปี 64 ของเรา คงประมาณการไม่เปลี่ยนแปลง
GSP ฟื้นตัว แม้ปริมาณขายลดลง
ปริมาณก๊าซในไตรมาส 3/64 ลดลง -11% QoQ, -5% YoY มาอยู่ที่ 4,224 MMSCFD เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าลดลง 13% (ความต้องการใช้ก๊าซสูงสุดตามฤดูกาลใน 2Q64 โกลว์เฟส 5 หยุดดำเนินงานนนอกแผน) อย่างไรก็ตาม EBITDA ก๊าซธรรมชาติ BU ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น +6% QoQ, +76 YoY เป็น 2.338 หมื่นล้านบาท นำโดย Supply & Marketing (S&M) และ GSP ขณะที่ EBITDA S&M เพิ่มขึ้น 15% เป็น 4.2 พันล้านบาท เนื่องจากกำไรพิเศษที่ 600 ล้านบาทในไตรมาส 2/64 (บันทึกกำไรจาก LNG ใน 1Q64) แต่ EBITDA หลักของ S&M ทรงตัว อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้นจากลูกค้าอุตสาหกรรม (ASP โยงกับน้ำมันเชื้อเพลิง) ชดเชยปริมาณที่ลดลง ขณะที่ EBITDA GSP เพิ่มขึ้น 11% เป็น 8.2 พันล้านบาท แม้ว่าปริมาณจะลดลง 6% QoQ (GSP #6 หยุด) จากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น โดย 1) ต้นทุนวัตถุดิบลดลง -1% (อ่าวไทย) 2) ราคาโพรเพน/แอลพีจี เพิ่มขึ้น +20% (58% ของปริมาณ GSP) จากราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก อัตรากำไรขั้นต้นของ GSP อาจยังคงสูงในไตรมาส 4/64 เนื่องจากวิกฤตด้านพลังงาน
ความกังวลระยะสั้นต่อการนำเข้าก๊าซ LNG จะคลี่คลาย
PTT ประเมินว่าปริมาณ 3-4% ของทั้งหมดของ ปตท. มีความเสี่ยง (10-15% ของ SPP) เป็นผลจากการเปิดเสรีก๊าซของประเทศไทย (ผู้ผลิตไฟฟ้านำเข้า LNG เอง) คาดว่า GULF และ BGRIM จะนำเข้าสปอต LNG เร็วที่สุดใน 2H64/1H65 แต่อาจเลื่อนกลับไปเป็นปี 66 ได้ เนื่องจากราคา LNG ยังคงสูง (สปอต JKM ในเอเชียสูงถึง 33 เหรียญสหรัฐ/mmbtu) ตลาดคาดว่า LNG สปอตจะลดลงที่ 15 เหรียญสหรัฐ/mmbtu ภายในสิ้นปี 65 และลดลงในปี 66 ต้นทุนก๊าซของ PTT สำหรับปี 65 อยู่ที่ประมาณ 9-10 เหรียญสหรัฐฯ/mmbtu ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า การเปิดเสรีก๊าซในระยะยาวยังคงเป็นผลลบต่อ ปตท. อย่างไรก็ตาม แรงกดดันในระยะสั้นน่าจะผ่อนคลายลง
Kaushal Ladha, CFA, CESGA
(66) 2658 5000 ext 1392
Jay Mart (JMART)
ถึงเวลาสร้างฝุ่น
BUY
Share Price THB 42.25
12 m Price Target THB 50.50 (12%)
Previous Price Target THB 46.50
ประเด็นการลงทุน
กำไรที่ดีกว่าคาดมาจากธุรกิจการเงินในกลุ่มที่รักษาการเติบโตได้ดี แม้ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับผลกระทบช่วงสั้น (Lockdown) การฟื้นตัวในไตรมาสสุดท้ายจะกลับไปทำลายสถิติสูงสุดได้ ทำให้กำไรในปีนี้อยู่ในกรอบที่มองไว้ 1.2 พันลบ. +56%YoY เรายังมองเป็นโอกาสซื้อก่อนที่ตลาดจะตอบรับเชิงบวกหลังการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 18 พ.ย.นี้ ต่อแผนธุรกิจจากการลงทุนของ VGI-U จะแล้วเสร็จช่วงปลายปี ก่อเกิด Synergy ที่สร้างผลบวกในทั้งด้านการเงินและระดับธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญในปี 2565-66 แนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเหมาะสม 50.50 บาท
3Q64 กำไรสุทธิดีกว่าคาด 10%
บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 270 ลบ. +16%QoQ,+3%YoY มาจากส่วนแบ่งกำไรจาก JMT-SINGER (สัดส่วนราว 80% ของกำไรบริษัท) ออกมามากกว่าที่เราคาดเฉลี่ย 10% ขณะธุรกิจอื่นได้รับผลกระทบชั่วคราวใน ก.ค.-ส.ค. ได้แก่ i) ธุรกิจ Mobile กำไร 42 ลบ. ตามยอดขาย 1,620 ลบ. -11%QoQ ตามผลกระทบจากการปิดสาขา ii) ธุรกิจสินเชื่อ KBJ รับรู้ผลขาดทุนเล็กน้อยในช่วงปรับโครงสร้าง ขนาดพอร์ตสินเชื่อทรงตัว 3.7 พันลบ. และ NPL 3.9% iii) J รับรู้กำไร 4 ลบ. ลดลงหลังถูกปิดห้างเช่นเดียวกัน
กลับไปทำ All time high ในไตรมาสสุดท้ายของปี
คาดกำไร 4Q64 จะฟื้นตัวกลับมาอยู่ระดับ 350-400 ลบ. +30%QoQ มาจากทั้งกลุ่มการเงิน (JMT-SINGER) กำไรเติบโตได้ตามขนาดพอร์ตที่ขยายตัวทุกไตรมาส และการพลิกมีกำไรของ KBJ จากปริมาณการตั้งสำรองที่ลดลง ii) ธุรกิจมือถือจะฟื้นตัวแรง QoQ ที่ 60-70 ลบ. หลังกลับมาเปิดสาขาปกติ และอุปสงค์ที่แข็งแรงโดยเฉพาะ iPhone 13 หนุนยอดขายทำจุดสูงสุดของปี iii) การเปิดสาขาใหม่ JAS Village Kubon ในช่วงปลายปีของ J ที่มีกำไรทันที ทำให้กำไรเข้าเป้าหลัง 9M64 ทำได้คิดเป็น 67% ของกำไรที่เรามองไว้ 1,242 ลบ. +56%YoY
คงคำแนะนำ ซื้อ ปรับราคาเหมาะสมขึ้น 50.50 บาท
เราปรับราคาเหมาะสมสำหรับ 12 เดือนข้างหน้าขึ้นอีก +8% เป็น 50.50 บาท/หุ้น อิง SOTP เพื่อสะท้อนมูลค่า JMT-SINGER และ ธุรกิจมือถือ (core) เปรียบเทียบอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดีมูลค่าของ JMART ยังมี Upside สำคัญ 2 ปัจจัยที่นอกเหนือประมาณการของเราและตลาด ได้แก่ i) ความร่วมมือในระดับธุรกิจหลังกลุ่ม BTS เข้าทำธุรกรรมแล้วเสร็จในปลายปีนี้ โดยเฉพาะการเข้ามาใช้ช่องทางขาย-จำหน่ายสินค้า-ให้บริการร่วมกัน ii) ธุรกิจ JVC ที่อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการใหม่ และหาก JFIN coin ถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2565
Thanatphat Suksrichavalit
(66) 2658 5000 ext 1401
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ