- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 May 2014 16:30
- Hits: 2988
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ความคืบหน้าแก้เศรษฐกิจ ส่งผลดี”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
• ภาพตลาดวันก่อน : SET Index แกว่งตัว แต่ปิดบวกได้ 4.44 จุด ที่ 1392.73 มูลค่าซื้อขายยังอยู่ในเกณฑ์ดี 4 หมื่นกว่าล้านบาท โดยนักลงทุนกลับมาเลือกซื้อหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภค & การลงทุนหลังคสช.เร่งการจ่ายเงินให้เกษตรกรในโครงการรับจำนำข้าว, เร่งใช้จ่ายและลงทุนตามงบประมาณปี 57 และจัดทำงบประมาณปี 58 ให้ทันเวลา รวมทั้งเร่งพิจารณากฎเกณฑ์สำคัญ เช่น ใบรง.4, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีรายได้นิติบุคคล เป็นต้น ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มธนาคารพาณิชย์, พาณิชย์, เช่าซื้อ, นิคมอุตสาหกรรม, รับเหมาก่อสร้าง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อ 2.76พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อ-ขายสุทธิใกล้เคียงกัน ส่วนพอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านปรับตัวขึ้นสดใส สะท้อนตลาดหุ้นนิวยอร์คที่ปรับขึ้นดี S&P500 ทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวออกมาดีคือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค คำสั่งซื้อสินค้าคงทน และราคาบ้าน คาดว่าจะส่งผลดีกับ SET แต่ปัจจัยที่ดูมีน้ำหนักมากกว่าคือความคืบหน้าการกอบกู้เศรษฐกิจของ คสช. ที่มีความคืบหน้าเรื่องการแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาซึ่งรายชื่อที่ปรากฏออกมาส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับจากแวดวงในธุรกิจพอควร อีกทั้งการเร่งจัดทำงบประมาณปี 58 และตั้งกรรมการ BOI เพื่อพิจารณาโครงการค้างท่ออีก 7.5 แสนล้านบาท คาดว่าจะยังส่งผลดีต่อหลักทรัพย์ที่ทำธุรกิจในประเทศ (Domestic Play) เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์, พาณิชย์, เช่าซื้อ, นิคมอุตสาหกรรม, รับเหมาก่อสร้าง แต่จากการตรวจสอบรัฐวิสหกิจ จะยังสร้างความกังวลต่อหลักทรัพย์ในกลุ่มนี้ ระยะสั้นจึงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน เช่น PTT, AOT, THAI และ KTB แม้นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ เพราะกังวลต่อการเมืองไทยหลังมีรัฐประหาร แต่คาดว่าจะค่อยๆลดแรงขาย เมื่อเข้าใจการดำเนินการของ คสช.ในทางปัจจัยพื้นฐาน เรายังคงแนะนำทยอยซื้อลงทุนระยะกลาง-ยาวในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีในจังหวะราคาอ่อนตัว สำหรับการลงทุนตามรอบโดยใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคมีกลยุทธ์ คือ โดยหลักเป็นการซื้อตามค่าบวก กลยุทธ์รองคือซื้ออ่อนตัว โดย SET มีพื้นที่แนวรับ 1370-1360, 1340-1330 จุด และแนวต้านระยะสั้น 1400-1400, 1430+/- จุด สำหรับหุ้นพื้นฐานที่น่าสนใจวันนี้ เป็น CPALL
Fundamental Pick
CPALL แนะนำซื้อปิด 44.75 บาท ราคาพื้นฐาน 48 บาท
• ธุรกิจของ CPALL ไปได้ดี บริษัทมีการปรับแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเป็นการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าชิ้นเล็กๆ แต่มีความจำเป็นในการใช้ประจำวันของผู้บริโภค ซึ่งสินค้าดังกล่าวได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาการเมืองยืดเยื้อไม่มากฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดว่า SSSG ปี 57 ยังเป็นบวก 4-5% ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเฉลี่ยของอุตสาหกรรมค้าปลีกทั้งหมด
• เราจัดให้ CPALL เป็นหุ้น Top Pick ในหมวดพาณิชย์ เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตกำไรที่สูงกลยุทธ์การตลาดที่มีความยืดหยุ่นได้ดี และได้ประโยชน์ในการเติบโตเร็วจากการซื้อ MAKROคาดการณ์ EPS Growth ปี 57 ไว้เท่ากับ 35% นับว่าโดดเด่นมากเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโต 23% และการขยายตัวของกำไรตลาดที่ 9% แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 48บาท อิงกับ PEG ปี 57 ที่ 1.0 เท่า
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+/- สหรัฐ: ความเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค.เพิ่ม
+/- คอนเฟอเรนซ์ บอร์ดรายงานว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้นขึ้นแตะระดับ 83 จากระดับ 81.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เนื่องจากผู้บริโภคมีมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน
ความเห็น Retail Team Research: ดัชนีดาวโจนส์ S&P 500 และ Nasdaq ส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อตลาดหุ้นเอเซีย แต่ก็อาจเร่งให้ สหรับปรับลด QE และขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในอนาคต ซึ่งส่งผลลบในอนาคตได้
+/-สหรัฐ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน เม.ย.แข็งแกร่งเกินคาด
+/-กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนหรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนเม.ย. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าปรับตัวลง0.7% โดยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนถือเป็นมาตรวัดแผนการใช้จ่ายด้านทุนของภาคธุรกิจ
+/-สหรัฐ: ข้อมูลราคาบ้านดีเกินคาด
+/-ข้อมูลราคาบ้านที่ดีเกินคาดก็ยิ่งเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตลาด โดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมี.ค.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบห้าเดือน และสำนักงานเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FHFA) รายงานว่า ราคาบ้านของสหรัฐปรับตัวขึ้น 1.3% ในไตรมาสแรก ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 11 ไตรมาส
+ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค: S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
+ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P 500 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่16,675.50 จุด เพิ่มขึ้น 69.23 จุด หรือ +0.42% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,237.07 จุด เพิ่มขึ้น51.26 จุด หรือ +1.22% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,911.91 จุด เพิ่มขึ้น 11.38 จุด หรือ +0.60%
-ราคน้ำมัน: ปรับลงเล็กน้อย เพราะสต็อคสูงและคลายความกังวลยูเครน
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (27 พ.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ลดลง 24 เซนต์ ปิดที่ 104.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 30 เซนต์ ปิดที่110.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
-ทองคำ: ลดลง หลังคลายความกังวลยูเครนและตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐสดใส
-สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 26.2ดอลลาร์ หรือ 2.03% ปิดที่ 1265.5 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน หลังจากการเลือกตั้งในยูเครนผ่านไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังทำให้นักลงทุนลดความต้องการถือครองทองคำเช่นกัน
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
+ ปลัดก.คลัง คาด GDP ปีนี้อาจโตได้ถึง2.5% ถ้าเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามแผนที่กำหนดไว้
+ นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้อาจจะเติบโตได้ถึง 2.5% หากสามารถเดินหน้างานด้านเศรษฐกิจไปได้ตามแผนงานด้านเศรษฐกิจที่กำหนดไว้ และจะพยายามผลักดันให้เติบโตมากกว่านั้น สำหรับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี58 สำนักงบประมาณได้รายงานต่อคสช.แล้วว่าจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 58 จะแล้วเสร็จภายในเดือนก.ย.นี้ และสามารถมีผลบังคับใช้ได้ทันในเดือนต.ค.57 อย่างแน่นอน ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นงบประมาณแบบขาดดุลราว 2 แสนล้านบาท โดยตั้งงบลงทุนไว้ที่ราว 4แสนล้านบาท ซึ่งคสช.ให้นโยบายไว้ว่าจะไม่เน้นโครงการลงทุนในระยะยาวที่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก เพราะจะมีผลผูกพันงบประมาณในระยะยาว แต่จะเน้นให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนในระยะสั้นที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยรวม เช่น การให้ความช่วยเหลือในด้านของพันธุ์พืช ปุ๋ยเคมี หรือเงินทุนเพื่อใช้ในการเกษตรต่างๆ แทนจากเดิมที่เป็นในรูปแบบของการรับจำนำหรือการประกันราคาสินค้า, ในภาคธุรกิจ SMEs ให้ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐให้ความช่วยเหลือทั้งเงินทุนและการค้ำประกันสินเชื่อ โดยเน้นไปยังธนาคารธนาคารออมสินให้เงินกู้และมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.) ค้ำประกัน ซึ่งบสย.แจ้งว่ามีวงเงินอีก 1.6แสนล้านบาทที่เพียงพอใช้ไปอีกระยะหนึ่ง และในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ จะเร่งสร้างความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ โดยเฉพาะนโยบายด้านการลงทุนในประเทศว่ามีความพร้อมด้านใดและจะสนับสนุนแหล่งเงินทุนในธุรกิจใดบ้าง
•/+ การเมือง : หัวหน้าคสช.มีคำสั่งให้ตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปและระว่าโครงการใหญ่ที่อยู่ในงบประมาณปี 58 ต้องมีแผนงานชัดเจน และเข้าถึงประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
•/+ เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งออกมาเพิ่มเติม ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการจัดตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ทั้งนี้เพื่อสร้างความรักความสามัคคี สลายสีเสื้อเตรียมการไปสู่แนวทางปฏิรูปในอนาคต โดยอาจมีการคัดผู้นำหรือแกนหลักแต่ละกลุ่มเข้าประชุมหารือหรือเสวนาต่างๆ ซึ่งจะมีรายละเอียดแจ้งให้ทราบอีกครั้งสำหรับแผนงานโครงการที่ริเริ่มใหม่ ให้เสนอ คสช.พิจารณาอนุมัติ เพื่อบรรจุในปีงบประมาณปี58 หากเป็นโครงการใหญ่ต้องมีโรดแมปที่ชัดเจน หรือลดขนาดเป็นหลายโครงการเพื่อเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว, การดำเนินการต่างๆต้องโปร่งใส เป็นที่พึงพอใจของประชาชน และไม่มีผลผูกพันกับรัฐบาลใหม่ หากจำเป็นให้ขออนุมัติจาก คสช., การบริหารราชการทุกเรื่องไม่ใช่ทหารไปสั่งการให้ส่วนราชการทำอะไรที่ผิดระเบียบ เป็นเพียงการไปกำกับติดตามดูแล เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น โดยไม่ปรับเปลี่ยนแนวทางของส่วนราชการที่ทำไว้อยู่เดิม
+ คสช.ตั้งทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ฟื้นฟูการลงทุนในไทย
• แหล่งข่าวใกล้ชิด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังยอมรับว่าขณะนี้นายสมคิดได้เข้าไปช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับงานด้านเศรษฐกิจให้กับคสช. แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งใดหรือไม่ หลังจากปรากฎเป็นรายงานข่าวว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น 1 ในทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของคสช. ร่วมกับนายณรงค์ชัย อัครเศรณีอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง และอดีตผู้ว่าการธปท. (ที่มา อินโฟเควสท์)
+ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ศสช.) ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษา โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นประธานคณะที่ปรึกษา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มรว.ปรีดิยาธร เป็นรองที่ปรึกษา รวมทั้งอีกหลายท่านเป็นที่ปรึกษา เช่น นายณรงค์ชัย อัครเศรณี และนายสมคิดจาตุศรีพิทักษ์ โดยวัตถุประสงค์คือ สนับสนุนให้เอกชนที่พร้อมจะลงทุนอยู่แล้วได้รับความสะดวก เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น การออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4)ให้เร็วขึ้น นอกจากนี้จะมีการตั้งคณะกรรมการบีโอไอ ชุดใหม่ในสัปดาห์หน้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้า ช่วยโครงการรอส่งเสริมที่ค้างอยู่ 7 แสนล้านบาท ดำเนินต่อไปได้ ด้านการจัดทำงบประมาณปี 58 หลังจากกระทรวง ทบวง กรม ต่างๆ จัดทำโครงการจะส่งเรื่องให้คณะที่ปรึกษานี้กลั่นกรอง
ความเห็น Retail Team Research: เป็นบวก หลังจากหลักทรัพย์กลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีการเก็งกำไรกันไปมากแล้ว คาดว่าหลักทรัพย์กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน เช่น นิคมอุตสาหกรรมและวัสดุก่อสร้าง จะสะท้อนข่าวดีนี้เช่นกัน ส่วนหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้อในประเทศและความมั่นใจของผู้บริโภค จะมีการฟื้นตัวเช่นกัน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก และสื่อสารเป็นต้น ดังนั้นหลักทรัพย์กลุ่มที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic play) จะโดดเด่น
-หลักทรัพย์กลุ่มรัฐวิสาหกิจหวั่นไหวไปตามการปรับปรุงประสิทธิภาพ
-พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองหัวหน้า คสช.หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจได้ให้นโยบายกระทรวงการคลังในเรื่องการปรับประสิทธิภาพรัฐวิสาหกิจ (รสก.) เพราะที่ผ่านมามีกรรมการของรสก.มีกระบวนการที่เข้ามาไม่ชัดเจน โดยในวันที่ 31 พ.ค.57 ได้สั่งการให้เรียกผู้บริหาร รสก.เข้าร่วมประชุม ส่วนนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง ได้กล่าวว่าบอร์ด ปตท.ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯทำให้ยังต้องผ่านมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ความเห็น Retail Team Research: ระยะนี้หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐวิสาหกิจมีความหวั่นไหวตามข่าวข้างต้นว่าจะทำให้ผู้บริหารถูกเปลี่ยนแปลง และอาจจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้ เช่น AOT, PTT, THAI และ KTB เป็นต้น จึงส่งผลกระทบให้ราคาหลักทรัพย์เหล่านี้ได้รับผลกระทบไปด้วย แต่คาดว่าระยะกลางถึงยาวจะแปรไปตามปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทมากกว่า
นักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835 [email protected]