- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 28 May 2014 15:30
- Hits: 3116
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
นอกจากแรงกดดันจากแรงขายของต่างชาติที่คาดว่าจะมีเหลืออีกเล็กน้อยแล้ว ตลาดหุ้นวันนี้ยังไม่มีปัจจัยลบใหม่ๆ เข้ามาซึ่งน่าจะหนุนให้เกิดแรงเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ได้ต่อในระยะสั้น เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรับเหมาฯ แต่สำหรับพอร์ตการลงทุนระยะยาว ยังเลือกสะสม SCC (FV@B 520)
คาดงบประมาณปี 2558 เริ่มใช้ได้ทัน 1 ต.ค.2557 ผลักดัน GDP โต 2%
ในส่วนของการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง และการบริหารจัดการประเทศ ล่าสุด คสช. ได้มีแนวทางสำคัญใน 2 เรื่องหลัก คือ 1) การตั้งศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ ในทุกกองทัพภาค เพื่อลดความขัดแย้งของคนในชาติ และ 2) ได้ประกาศแต่งตั้ง คณะที่ปรึกษา คสช. ในระดับนโยบาย 10 คน โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธานที่ปรึกษา ทั้งนี้ในส่วนของเศรษฐกิจมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นผู้ดูแล ขณะที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูแลทางด้านการต่างประเทศ สำหรับการจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีข่าวคืบหน้าเพิ่มเติม แต่คาดว่าจะเห็นได้ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจได้แก่การเดินหน้าจัดทำงบประมาณแผ่นดินปี 2558 ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นว่า จะสามารถนำมาใช้ได้ทันภายใน 1 ต.ค.2557 โดย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะได้ส่งกำหนดการ และแผนการจัดทำงบประมาณ ให้กับ คสช. ในวันนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล 2-2.5 แสนล้านบาท โดยจะเดินหน้าลงทุนในโครงการอันไม่เป็นที่น่าสงสัยของประชาชน ได้แก่ โครงการลงทุนรถไฟรางคู่ และ รถไฟฟ้าในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีเม็ดเงินลงทุนไม่สูงนัก พร้อมกันนี้จะเร่งให้มีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ซึ่งปัจจุบันมีการเบิกจ่ายน้อยกว่าเป้าหมาย 9% จากแผนการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจ และทำให้เศรษฐกิจปี 2557 เติบโตได้ 2% ซึ่งตรงกับประมาณการของฝ่ายวิจัย พัฒนาการของว่าดังกล่าวถือเป็นผลดีในการสร้างความเชื่อมั่น และถือเป็นผลดีต่อ SET Index โดยอาจทำให้ยืนอยู่เหนือระดับ PER 14.5 เท่าได้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสข่าว
ข่าวบวกต่อ ธ.พ. หากเข้าประมูลตั๋วคลังจะหนุนเชื่อเติบโตราว 1%
กระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือเชิญสถาบันการเงินในประเทศทั้ง 32 แห่ง เข้าร่วมประมูล การปล่อยเงินกู้ภายใต้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2556/57 เป็นเงินทั้งสิ้น 9 หมื่นล้านบาท แบ่งการกู้ยืมเป็น 2 รอบ คือ รอบแรก 5 หมื่นล้านบาทก่อน และรอบสอง 4 หมืนล้านบาท (กำหนดเงื่อนไขวงเงินขั้นต่ำที่เข้าร่วมประมูล 2 พันล้านบาท) อายุเงินกู้ 3 ปีนับจากวันเบิกเงินกู้งวดแรก (กำหนดวันยื่นประมูลงวดแรกไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท ภายในวันที่ 6 มิ.ย.2557 งวดที่สองไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท ภายในวันที่ 13 มิ.ย.57) โดยจะทำการเบิกเงินกู้จาก ธ.พ. ที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดก่อน
ทั้งนี้ แม้วงเงินปล่อยกู้จะทำให้ ธ.พ. สามารถขยายวงเงินกู้ได้ไม่เกิน 0.95% ของสินเชื่อทั้งระบบ (10 แห่งที่ศึกษา) แต่ถือว่าเป็นการรักษาฐานสินเชื่อปี 2557 ที่คาดว่าจะเติบโตในระดับ 7% และอาจจะทำให้แนวโน้มสินเชื่อ 2Q57 อาจดีกว่าคาด แต่ผลบวกต่อกำไรจำกัดมาก เพราะระยะเวลาที่รับรู้รายได้ระยะสั้น คือน้อยกว่า 1 เดือน แต่น่าจะเข้ามาเต็มที่ในงวด 3Q57 สินเชื่อดังกล่าวยังให้อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก (สอดคล้องกับความเสี่ยงต่ำ ภายใต้ระบบการประมูล) โดยหากกำหนดให้ส่วนต่างดอกเบี้ยรับสุทธิ (NIM) ของสินเชื่อเท่ากับ 100-150 bp สำหรับเม็ดเงิน 5 หมื่นล้านบาท จะส่งผลบวกต่อรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (สุทธิจากภาษีฯ) ทั้งระบบเพียง 400-600 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพียง 1% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2557 ของทั้งกลุ่มฯ
โดยสรุปนโยบายนี้อาจจะส่งผลบวกด้านทางอ้อม ต่อจิตวิทยาการลงทุนมากกว่า เพราะจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภครายย่อยโดยเฉพาะ ชาวนา/เกษตรกร ที่จะสามารถนำเงินไปชำระหนี้ หรือใช้จ่ายตามความจำเป็นในครัวเรือน ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่าตลาด โดยยังเลือก BBL (FV@197B) เป็น Top pick ของกลุ่ม ธ.พ. เนื่องจากมีกลยุทธ์ธุรกิจที่สามารถรักษาศักยภาพการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งภายใต้เศรษฐกิจที่ชะลอตัว
เก็งกำไรหุ้นรับเหมาต่อ เลือกหุ้นตัวไหนดี ?
พัฒนการเชิงบวกในเรื่องของการจัดทำงบประมาณปี 2558 การเร่งเบิกจ่ายงบปี 2557 และการเปิดเผยแนวทางของการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นรับเหมาก่อสร้าง แม้ว่าในทางปฎิบัติแล้ว เชื่อว่ากว่าที่จะเริ่มเห็นการเริ่มต้นประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่อยู่ในแผนหลักคือ รถไฟฟ้ากรุงเทพฯ-ปริมณฑล และรถไฟรางคู่ น่าจะเป็นช่วงปลายปี 2557 หรือ ต้นปี 2558 (ทั้งนี้ยังต้องดูตัวแปรในเรื่องของท่าทีรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะจัดตั้งขึ้นมาด้วย) ทั้งนี้ในตารางด้านล่าง ฝ่ายวิจัยได้สรุปสถานะของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ ใน 2 กลุ่มที่จะเดินหน้าดำเนินการต่อ
การเคลื่อนไหวของหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างในช่วงนี้จึงถือเป็นการปรับขึ้นไปตามกระแส โดยที่ปัจจัยแวดล้อมในเรื่องของการทำกำไร ตลอดจนประมาณทางการเงินไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการเข้าไปเก็งกำไรตามกระแสที่เกิดขึ้น จึงควรเลือกตัวที่ปลอดภัย กล่าวคือมีราคาต่ำกว่า Fair Value, ได้รับประโยชน์จากการเกิดขึ้นของโครงการภาครัฐ ตลอดจนมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งฝ่ายวิจัยเห็นว่ามี 2 บริษัทที่น่าสนใจได้แก่ UNIQ (FV@B 9.05) ซึ่งมี Upside ถึง 23.97%, SEAFCO (FV@B 6.03) มี Upside 27.75% นอกจากนี้ยังอาจเลือก ITD (FV@B 4.89) ซึ่งมี Upside 16.99%
การเมืองกดดันต่างชาติขายต่อเนื่อง
วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่ยังคงเบาบาง ราว 33 ล้านเหรียญฯ (ลดลงจากวันก่อนหน้า 40%) โดยไทยยังคงขายสุทธิสูงสุด ราว 84 ล้านเหรียญฯ (2.7 พันล้านบาท ขายติดต่อกันเป็นวันที่ 6 ลดลง 19% จากวันก่อนหน้า) ขณะที่ฟิลิปปินส์ขายสุทธิเบาบางเป็นวันที่ 2 ราว 4 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 75% จากวันก่อนหน้า) สวนทางกับ ไต้หวันที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4 ราว 48 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 28% จากวันก่อนหน้า) และ เกาหลีใต้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 10 ราว 8 ล้านเหรียญฯ (ลดลง 64%) ส่วนตลาดในอินโดนีเซียปิดทำการ ต่างชาติยังคงเทขายสุทธิหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องถึง 6 วันติดต่อกัน รวม 2.6 หมื่นล้านบาท ในทิศทางเดียวกับตลาดตราสารหนี้ที่นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ราว 1.3 พันล้านบาท (รวม 3 วันขายสุทธิ 1.3 หมื่นล้านบาท) มีส่วนกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงแตะระดับ 32.62 บาทต่อเหรียญฯ ในขณะที่การเมืองยังคงกดดันตลาดและน่าจะทำให้ต่างชาติขายสุทธิออกมาเพิ่มเติมอีก
เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวต่อเนื่องตามคาด
เศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง นำโดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (จากคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด) เดือน พ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 1.6%mom (สอดคล้องกับที่คาด) เช่นเดียวกับ การคาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอีก 6 เดือนข้างหน้า ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% จากที่คาดไว้เมื่อเดือน เม.ย. แสดงถึงผู้บริโภคเริ่มมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อภาคครัวเรือน (คิดเป็น 70% ของเศรษฐกิจสหรัฐ) ตามมาด้วย ภาคการผลิตพบว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (อายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี) เดือน เม.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 0.8%mom (มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่ม 0.7%mom) หลักๆ แล้วมาจากยอดสั่งซื้อสินค้ากลาโหม รวมถึงตลาดอสังหาฯ ที่ยอดขายบ้านใหม่ เดือน เม.ย. ปรับเพิ่มขึ้น 6.4%mom (เป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน และสูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย) โดยเฉพาะยอดขายบ้านในเขตมิดเวสต์ เนื่องจากต้นทุนกู้ยืนเงินที่ลดลง และตลาดแรงงานฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งเดือน เม.ย. อัตราการว่างงานลดลงมาที่ระดับ 6.3%
ดังนั้น การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ได้ยืนยันการมีประสิทธิภาพของการใช้นโยบาย QE โดยคาดว่ามาตรการ QE จะสิ้นสุด ภายในเดือน ก.ย. นี้ และยังคงใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ 0.25% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ต้องติดตามความชัดเจนของนโยบายเพิ่มเติมจากการประชุม FED ครั้งถัดไปวันที่ 17-18 มิ.ย.
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
พบชัย ภัทราวิชญ์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล