- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 21 September 2021 15:19
- Hits: 7622
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-9-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 21 กันยายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ตอบรับข่าวลบไปพอควร
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,590 จุด และแนวต้าน 1,615 จุด เน้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว โดย ATO Picks แนะนำ “MAJOR, ASK”
MAJOR
คาด 3Q64 จะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย SF หนุนกำไรสุทธิ 3Q64 ราว 2 พันล้านบาท และคาดจ่ายปันผลพิเศษ 1 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราปันผล 4.7% และหากมีการคลายล็อกดาวน์ในปลายปีคาดกำไรจะฟื้นตัวขึ้นเด่นจากหนังเตรียมเข้าฉายจำนวนมาก และเร่งขึ้นต่อในปี 2565
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 28 บาท
ASK
คาดกำไร 3Q64 เติบโตทั้ง QoQ, YoY จากทั้งพอร์ตสินเชื่อรถบรรทุกและรายได้นายหน้าประกันภัยที่เร่งขึ้น ผสานส่วนแบ่งการตลาของสินเชื่อรถบรรทุกที่เพิ่มขึ้น โดยคาดสินเชื่อและกำไรจะทำจุดสูงสุดของปีใน 4Q64 และคาดการเติบโตทั้งรายได้และกำไรใน 3 ปีข้างหน้าอย่างน้อย 25-30% ต่อปี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 55 บาท
INVESTMENT THEME
ตอบรับข่าวลบไปพอควร
เต็มไปด้วยปัจจัยกดดันสั้น : ในระยะสั้นอาจเห็นข่าวลบค่อนข้างมาก นำโดย 1) ปัญหาภาระหนี้ของ Evergrande บริษัทอสังหายักษ์ใหญ่ของจีนที่ประสบปัญหาสภาพคล่องเพิ่มความกังวลให้กับตลาดโลก แต่เราเชื่อว่ารัฐบาลจีนจะรีบเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าว โดยล่าสุดมีการอัดฉีดเม็ดเงินกว่า 9 หมื่นล้านหยวน ซึ่งคงต้องติดตามความคืบหน้าในช่วงถัดไป 2) การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯในปลายสัปดาห์นี้ มีความเสี่ยงในเรื่องการประกาศแผนลดวงเงิน QE รวมถึงความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯ 3) ตลาดหลักทรัพย์ได้จัด Public Hearing เรื่องเกณฑ์การปรับดัชนีเข้า-ออกของ SET50/100 โดยจะเพิ่มเกณฑ์ด้านสภาพคล่องที่สม่ำเสมอ และเป็นไปตามสภาพปกติเข้าไป ซึ่งจะทำให้หุ้นที่ถูกประกาศติด Cash Balance บ่อยๆ มีโอกาสสูงที่จะไม่ผ่านเกณฑ์การติด SET50/100 และ 4) คณะกรรมการนโยบายทางการเงินการคลังเห็นชอบให้ทบทวนกรอบสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จากเดิมที่ไม่เกิน 60% เป็นไม่เกิน 70% ซึ่งเป็นปัจจัยที่เร่งค่าเงินบาทอ่อนค่ามากยิ่งขึ้น
แต่คาดตลาดตอบรับไปพอควรแล้ว : จากปัจจัยลบต่างๆ กดดันตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยปรับตัวลงแรง เราเชื่อว่าท้ายที่สุดปัญหาต่างๆ จะค่อยๆได้รับการแก้ไข และหนุนให้ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นในช่วงถัดไป จึงมองเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีกำไรเด่น
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ปรับตัวลง จากความกังวลก่อนการประชุม FED สุดสัปดาห์ และความเสี่ยงของหนี้ Evergrande โดย SET ปิดที่ 1,603.06 (-22.59 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 85 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 106 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 277 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 4,392 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures
EYES ON
21 ก.ย. ยอดใบอนุญาตก่อสร้าง US, การสร้างบ้าน US
22 ก.ย. การประชุม FOMC, ยอดการขายบ้านมือสอง US, สต๊อกน้ำมันดิบ US, ดัชนีความเชื่อมั่นของยูโรโซน
23 ก.ย. ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ดัชนี PMI ภาคการผลิตและบริการ US และยูโรโซน, ยอดการส่งออกของไทย
24 ก.ย. ยอดการขายบ้านใหม่ US
Dynasty Ceramic (DCC)
3Q64 จะชะลอ แต่ 4Q64&2564 จะโต
BUY
Share Price THB 2.86
12 m Price Target THB 3.50 (+22%)
Previous Price Target THB 3.50
ประเด็นการลงทุน
ผลประกอบการ 3Q64 จะชะลอตัว ถูกกระทบจาก Covid-19 และฝนตกชุก แนวโน้ม 4Q64 คาดจะกลับมาเติบโต จากความต้องการที่อั้นมาจากช่วง Covid-19 ระบาด และ จากการบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วม DCC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ กระเบื้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีกำไรดี ช่วยหนุนยอดขายและกำไร คาดกำไรปีนี้จะเติบโต 6% สู่ระดับ 1,680 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดต่อ หุ้นปันผลดี คาดปีนี้จะปันผลเพิ่มเป็น 0.18 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 6.2% คงแนะนำ ซื้อลงทุน เป้าหมาย 3.50 บาท
ผลประกอบการ 3Q64 จะชะลอตัว ถูกกระทบจาก Covid-19 และฝนตกชุก
การแพร่ระบาดอย่างหนักของ Covid-19 ในช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. มีการล็อกดาวน์ รวมถึงเข้าสู่ช่วงหน้าฝน มีฝนตกชุก ทำให้ยอดขายของ DCC ปรับลดลงประมาณ 12-13% จากปีก่อน แต่ ก.ย. มีการคลายล็อกดาวน์ ทำให้มีสัญญาณดีขึ้น เราประเมินยอดขาย 3Q64 จะลดลงเหลือประมาณ 1,906 ล้านบาท (-13%QoQ, -8%YoY) ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะรักษาระดับได้ประมาณ 43% จากการทยอยปรับราคาขึ้น และ ขายกระเบื้องขนาดใหญ่มากขึ้น ดังนั้น เบื้องต้น 3Q64 เราประเมินกำไรจะชะลอตัวลดลงเหลือประมาณ 362 ล้านบาท (-20%QoQ, -12%YoY)
4Q64 คาดจะฟื้นตัว รวมปี 2564 คาดกำไรจะเติบโต
2 สัปดาห์แรกของ เดือน ก.ย. เริ่มมีสัญญาณดีขึ้น หลังจากคลายล็อกดาวน์ และ เราคาดจะส่งผลบวกต่อเนื่องถึงไตรมาส 4Q64 ทำให้กลับมาเติบโต จากความต้องการกระเบื้องปูพื้นรวมที่อั้นมาช่วง Covid-19 ระบาด รวมถึงการบูรณะซ่อมแซมหลังน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยปีนี้ DCC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ลวดลายสวยงาม ทดแทนการนำเข้า ซึ่งมีกำไรดี เช่น กระเบื้องปูพื้นขนาด 60x120ซม. 80x80ซม. และ 40x80ซม. ได้รับการตอบรับ และ เติบโตดี โดยเฉพาะกระเบื้องนำเข้าจากจีนประสบปัญหาการขนส่งจากที่เรือขาดแคลน ปีนี้แม้ว่าต้นทุนก๊าซจะปรับสูงขึ้น แต่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และ ปรับเพิ่มราคา จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสามารถรักษาระดับได้ประมาณ 42-43% เราปรับประมาณการยอดขายลง 5% เหลือ 8,493 ล้านบาท ทรงตัวจากปีก่อน แต่คงประมาณการกำไร 1,680 ล้านบาท เติบโต 6%
หุ้นปันผลดี คงแนะนำ ซื้อลงทุน
DCC มีการจ่ายปันผลดี เกือบ 100% ของกำไร เราคาดจะจ่ายปันผลปีนี้ประมาณ 0.18 บาทต่อหุ้น มีเงินปันผลตอบแทน 6.2% คงแนะนำ ซื้อลงทุน ประเมินราคาเป้าหมาย 3.50 บาท บนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปีของ Dividend Yield – 1SD = 5%
ความเสี่ยง : Covid-19 กระทบภาพรวม / เศรษฐกิจในต่างจังหวัด / ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่ง
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Major Cineplex Group (MAJOR)
หนังพร้อมฉายเมื่อคลายล็อกดาวน์
BUY
Share Price THB 21.50
12 m Price Target THB 28.00 (+30%)
Previous Price Target THB 28.00
ประเด็นการลงทุน
หากมีการคลายล็อกดาวน์สำหรับโรงหนัง รายได้ของ MAJOR จะฟื้นตัวขึ้นจากการที่มีหนังเตรียมเข้าฉายจำนวนมากทั้งหนังที่เข้าฉายไปแล้วในต่างประเทศ และหนังใหม่เข้าฉายพร้อมต่างประเทศ จะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวขึ้นตั้งแต่ 4Q64 และจะพลิกเป็นกำไรในปี 2565 เรายังคาดว่า MAJOR จะจ่ายเงินปันผลพิเศษจากการขายหุ้น SF เท่ากับ 1 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4.7% แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 28 บาท
หนังจำนวนมากเตรียมเข้าฉาย
จากการที่ภาครัฐมีการทยอยผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เราคาดว่ามีโอกาสที่โรงหนังจะกลับมาเปิดได้ส่วนหนึ่งใน 4Q64 โดยที่ MAJOR มีการเตรียมหนังเข้าฉายทั้งหนังฮอลลิวูดที่ฉายในต่างประเทศไปก่อนหน้านี้แล้วหลังจากการเปิดเมืองในอเมริกา เช่น Fast and Furious 9, The Suicide Squad 2, Black Widow, Jungle Cruise และ Chang-Chi and the Legend of the Ten Rings อีกทั้งยังมีหนังใหม่ที่จะเข้าฉายพร้อมหรือใกล้เคียงกับต่างประเทศ เช่น No Time to Die, Dune, Venom 2, Eternals และ Spider-Man 3 นอกจากนั้น คาดว่าจะมีหนังไทยเข้าฉาย เช่น ร่างทรง (ของค่าย GDH)
บันทึกกำไรพิเศษจากการขาย SF และจ่ายเงินปันผลพิเศษ
เราคาดว่าผลประกอบการ 3Q64 จะขาดทุนมากกว่า 2Q64 เล็กน้อย เนื่องจากการปิดโรงหนังทั้งไตรมาส และส่วนแบ่งกำไรจาก SF ลดลง เนื่องจากการขายหุ้นทั้งหมดที่ถือใน SF 30% เมื่อปลายเดือน ส.ค. ทำให้ MAJOR จะไม่ได้ส่วนแบ่งกำไรจาก SF ที่เคยได้รับ 500-600 ล้านบาท/ปี ตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นไป อย่างไรก็ดี การขายหุ้นทำให้ MAJOR ได้รับเงินสุทธิ 7 พันล้านบาท ซึ่งจะนำไปใช้เพื่อ 1) บริหารกระแสเงินสด 2) ชำระคืนหนี้ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 150 ล้านบาท/ปี และ 3) จ่ายเป็นเงินปันผล ซึ่งเราคาดว่าบริษัทอาจจ่ายเงินปันผลพิเศษ 1 บาท/หุ้น นอกจากนั้น MAJOR จะบันทึกกำไรจากขายหุ้น SF หลังหักภาษี 2.82 พันล้านบาท (3.16 บาท/หุ้น) ทำให้ผลประกอบการ 3Q64 ของ MAJOR กลายเป็นกำไรสุทธิมากกว่า 2 พันล้านบาท
คาดหวังการฟื้นตัวอย่างมีนัยยะในปีหน้า
หากมีการเปิดเมืองได้มากขึ้น ผลประกอบการของ MAJOR จะพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในปี 2565 โดยมีหนังฮอลลีวุดฟอร์มใหญ่เข้าฉายจำนวนมาก เช่น Avatar 2, Jurassic World: Dominion, Black Panther 2, The Marvels, Thor, Aquaman 2, The Flash: Flashpoint และ Transformer 7 อีกทั้งมีหนังไทยหลายเรื่องที่ไม่ได้ฉายในปีนี้ เช่น บุพเพสันนิวาส 2 และ พี่นาค 3 เป็นต้น ขณะที่ในด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างและลดต้นทุนไปแล้วในช่วงล็อกดาวน์
ความเสี่ยง: การขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ หนังฟอร์มใหญ่ทำรายได้ต่ำกว่าคาด
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
SCG Packaging (SCGP)
ลงทุนสร้างฐานการผลิตใหม่ตอนเหนือของเวียดนาม
BUY
Share Price THB 62.25
12 m Price Target THB 72.00 (+16%)
Previous Price Target THB 72.00
ประเด็นการลงทุน
ในจังหวัด Vĩnh Phúc ใกล้กรุงฮานอย บริษัทย่อย Vina Kraft Paper (VKPC) จะสร้างโรงงานกระดาษบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรแห่งที่ 3 ในเวียดนาม (VKPC 3) มีกำลังการผลิต 370,000 ตัน/ปี ด้วยงบลงทุนรวม 1.1 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน และเครื่องจักร การลงทุนจะกระจายไปในช่วงสี่ปีข้างหน้า คือ ปี 2564 - 1 พันล้านบาท, ปี 2565 -1 พันล้านบาท, ปี 2566 – 5 พันล้านบาท และ ปี 2567 – 5 พันล้านบาท โดยจะใช้กระแสเงินสดภายในเป็นหลัก เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายตาม DCF เท่ากับ 72 บาท (WACC 8%, L-T terminal growth 3.2%)
การลงทุนและทำเลที่ตั้งที่แข่งขันได้
ค่าใช้จ่ายในการลงทุนคิดเป็น 996 เหรียญสหรัฐต่อตัน สำหรับการก่อสร้างโรงงานใหม่ที่รวมโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันต่อไปในอนาคต จะเป็นระดับแข่งขันได้ และยังเป็นโรงงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีที่ทันสมัย ระยะเวลาคืนทุนมีแนวโน้มสั้น โดยจะเป็นโรงงานแห่งที่ 2 ของ SCGP ในตอนเหนือของเวียดนามซึ่งขณะนี้ได้รับความนิยมในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุน
เสริมความแข็งแกร่งทางการตลาด
เวียดนามอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยคาดว่า GDP จะเติบโตสูง 6-7% ต่อปี การสร้างโรงงานปิโตรเคมีระดับ World Class ที่ Long Son ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จในปี 2566 ซึ่งเป็นเจ้าของโดย SCG Chemicals ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดี่ยวกับ SCGP จะเปลี่ยนภูมิทัศน์อุตสาหกรรมของเวียดนามในลักษณะเดียวกับที่ศูนย์ปิโตรเคมีแห่งชาติบนชายฝั่งทะเลตะวันออก หลังการขยายกำลังการผลิต SCGP จะเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในเวียดนามด้วยกำลังการผลิต 870,000 ตันต่อปี (+74%) เนื่องจากนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และความต้องการของตลาดกำลังเปลี่ยนไปใช้กระดาษและวัสดุพลาสติกร่วมกัน SCGP จะมีความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่ง
ขยายการลงทุนต่อเนื่อง
สำหรับปี 2564 SCGP ได้ตั้งงบลงทุนประมาณ 2 หมื่นล้านบาท สำหรับการขยายกำลังการผลิตและการเข้าซื้อกิจการ ในปี พ.ศ. 2565-2567 จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท สำหรับ VKPC 3 ซึ่งไม่ใช่ปัญหา ในการคาดการณ์ของเราสำหรับปี 2565-66 SCGP จะมีกระแสเงินสดในรูป EBITDA ที่สูงถึง 2.3-2.4 หมื่นล้านบาท
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Maria Lapiz
(66) 2257 0250
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ