- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 September 2021 12:06
- Hits: 8426
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 10-9-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 10 กันยายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ECB ส่งสัญญาณลด PEPP
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,615 จุด และแนวต้าน 1,640 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรเด่น โดย ATO Picks แนะนำ “COM7, JMT”
COM7
คาดแนวโน้มยอดขาย และกำไรจะฟื้นตัวตั้งแต่ 4Q64 เป็นต้นไป จาก 1) มาตรการผ่อนคลายการเปิดห้างสรรพสินค้าในเดือน ก.ย. 2) สินค้าใหม่ทยอยเปิดตัว ซึ่งคาดจะได้รับการตอบรับที่ดี เพราะกำลังซื้อตลาดกลาง-บนยังแข็งแกร่ง 3) การควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี หนุนมาร์จิ้นขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 82 บาท
JMT
คาดกำไร3Q-4Q64 แข็งแกร่งกว่าตลาด และจะขยายตัวเด่นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยเราประเมินการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 65 ที่ +67%YoY จะสามารถชดเชย Dilution Effect 18% จากการเพิ่มทุนได้ และคาดจะรักษาการเติบโตของ EPS เฉลี่ย (CAGR) 43% ในอีกสามปีข้างหน้า
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 58 บาท
INVESTMENT THEME
ECB ส่งสัญญาณลด PEPP
ECB คงดอกเบี้ยแต่ส่งสัญญาณลดวงเงิน PEPP : จากการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อคืนที่ผ่านมา มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งดอกเบี้ยเงินฝากที่ -0.5%, ดอกเบี้ยเงินกู้ +0.25% และดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ 0.0% และมีมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน โดยปรับคาดการณ์ GDP ปี 2021 ขึ้นสู่ +5% จากคาดเดิมที่ +4.6% และคาดเงินเฟ้อยูโรโซนปีนี้จะเร่งขึ้นชั่วคราวสู่ 2.2% และค่อยๆลดลงสู่ 1.5% ในปี 2566 นอกจากนี้มีการส่งสัญญาณปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรในโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) โดยในช่วง 4Q64 จะซื้อน้อยลงกว่า 2 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยสรุปถ้อยแถลงดังกล่าวถือว่าใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด และคาดว่าผลกระทบไทยจำกัด
แรงงานสหรัฐฯแข็งแกร่ง : ด้านสหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่ 3.1 แสนตำแหน่ง ลดลงจาก 3.45 แสนตำแหน่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา และต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 3.35 แสนตำแหน่ง ถือเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่สหรัฐฯเผชิญกับ COVID-19 บ่งชี้ภาคแรงงานสหรัฐฯยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง
จับตาประชุม ศบค.ชุดใหญ่ : วันนี้จะมีการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ โดยตลาดคาดจะมีการพิจารณาลดจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมถึงอาจยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่จะสิ้นสุด 30 ก.ย.นี้ และกลับไปใช้พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 แทน เป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งตัวลง โดยตลาดยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ รวมถึงรอความชัดเจนของการประชุม ECB โดย SET ปิดที่ 1,629.12 (-11.33 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 91 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 90 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 2,369 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,829 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 16,173 สัญญา)
EYES ON
14 ก.ย. ดัชนี CPI ของ US
15 ก.ย. ดัชนี Empire Manufacturing, ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US, สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ US
16 ก.ย. ยอดค้าปลีกของ US, ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
17 ก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค US, ดัชนี CPI ของยูโรโซน
Bangkok Exp & Metro (BEM)
จุดต่ำสุดจะถูกยืนยันด้วยสถิติ เดือน ส.ค.
BUY
Share Price THB 8.30
12 m Price Target THB 11.62 (+40%)
Previous Price Target THB 12.00
ประเด็นการลงทุน
เราคาดว่าสัปดาห์นี้ BEM กำลังจะรายงานตัวเลขสถิติเดือน ส.ค. ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และของการแพร่ระบาด COVID-19 ในทุกระรอกที่ผ่านมาของไทย โดย COVID-19 Mobility Trends Report โดย Apple ของ กทม. 8 วันแรกของเดือน ก.ย. แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมการเดินทางด้วยรถยนต์กำลังเริ่มพุ่งขึ้น สอดรับกับการเปิดเผยของผู้บริหารถึงตัวเลขสถิติหลังการผ่อนคลายล๊อคดาวน์ตั้งแต่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา ได้พุ่งขึ้นทันที 42-50% จากเดือน ส.ค. เราได้ปรับจูนประมาณการกำไรปีนี้จากผลกระทบใน 1H64 ที่แรงกว่าคาด ส่งผลให้ราคาเหมาะสม SOTP-DCF base ปีนี้ลดลงเล็กน้อย 3.1% เป็น 11.62 บาท/ หุ้น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” และแนะใช้กลยุทธ์สะสมซื้อแบบ DCA ตามสถานการณ์การฟื้นตัวแบบค่อยเป็นไปค่อยไป
Apple Mobility Index บอกว่า การเดินทางในกรุงเทพฟื้นตัวแล้ว
COVID-19 Mobility Trends Report – Apple ซึ่งใช้สะท้อนการเดินทางของประชาชนทั้งการขับรถ และเดินเท้า พบว่าล่าสุดในพื้นที่กรุงเทพฯ กิจกรรมการขับรถยนต์ฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยหลังการคลายล๊อคดาวน์ ระหว่าง 1-8 ก.ย. กิจกรรมการขับรถยนต์ต่ำกว่าวันฐาน 13 ม.ค. 63 อยู่ราว 48% ซึ่งดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเดือน ส.ค. ที่ต่ำกว่าฐาน 59% เราเชื่อว่าโมเมนตัมนี้จะดำเนินต่อไป หนุนจากการฉีดวัคซีนเข็มแรกในกรุงเทพกว่า 93.8% เข็มสอง 32.4% ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อก็ลดลงต่ำกว่า 4,000 รายต่อวันได้แล้วอีกด้วย
จุดต่ำสุดเจอแล้วใน เดือน ส.ค. จากนั้น ก.ย. พุ่งทะยาน
ผู้บริหารได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Money Talk วานนี้ ซึ่งหนึ่งในประเด็นสำคัญคือ จำนวนรถใช้ทางด่วน และ ผู้ใช้รถไฟฟ้า ในเดือน ส.ค. จะยังติดลบจากช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาดราว 53% และ 82% ตามลำดับ นั่นหลายความว่าตัวเลขสถิติเดือน ส.ค. เราคาดว่าจะอยู่ที่ 5.7 แสนคัน/ วัน และ 6.7 หมื่นเที่ยวคน/ วัน ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2564 ขณะที่ตัวเลขสถิติวันที่ 3 ก.ย. หลังการผ่อนคลายฯ ก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น 8.1 แสนคัน/ วัน (เพิ่ม 42% จากค่าเฉลี่ยเดือน ส.ค.) และ 1 แสนเที่ยวคน/ วัน (เพิ่ม +50% จากค่าเฉลี่ยเดือน ส.ค.)
แนะกลยุทธ์ทยอยสะสมซื้อแบบ DCA
จากแนวโน้มที่จะเห็นจุดต่ำสุดได้แล้ว ทำให้ downside จึงเริ่มจำกัด เราจึงแนะนำทยอยสะสม “ซื้อ” แบบสม่ำเสมอเท่าๆกันทุกเดือนจากนี้ได้แล้ว โดยครั้งนี้เรามีการปรับประมาณการกำไรปี 2564 ลงจากผลกระทบการแพร่ระบาดระรอกล่าสุดที่รุนแรงกว่าคาด โดยปรับปริมาณรถบนทางด่วนลง -13% เป็นเฉลี่ย 8.4 แสนคัน/ วัน ในปีนี้ และผู้โดยสารรถไฟฟ้าปรับลง -28% เป็น 1.4 แสนเที่ยวคน/ วัน ส่งผลให้กำไรปี 2564 ลดลง 33% เหลือ 1,012 ลบ. หดตัว -50.6% YoY แต่จะฟื้นตัวรุนแรง +160.2% YoY ในปี 2565
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
AEON Thana Sinsap (AEONTS TB)
กำไรจากการขาย NPL ชดเชยตั้งสำรองครั้งเดียวในไตรมาส 2
BUY
Share Price THB 194.50
12 m Price Target THB 260.00 (+33%)
Previous Price Target THB 260.00
ทุนสำรองสูงและแนวโน้มรายได้ชัดเจน ซื้อ
เราชอบ AEONTS ที่มีแนวโน้มรายได้ที่ชัดเจน เนื่องจากมีการกันสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญสูงที่ 12.8% และ NPL coverage ที่ 225% ในไตรมาส 1/64 เรามองเป็นโอกาสดีในการสะสมหุ้นเนื่องจากมีการซื้อขายที่ 12.3x PER ปี 64 ที่ 12.3 เท่า และ P/BV 2.5 เท่า เราคาดว่าอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นและจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงต่อวันจะช่วยให้การใช้จ่ายผ่านบัตรดีขึ้นในไตรมาส 4/64 คงคำแนะนำ ซื้อ TP อยู่ที่ 260 บาท อิง P/BV ปี 64 ที่ 3.3 เท่า PER 16 เท่า และ ROE 21.5% ความเสี่ยงที่สำคัญคือการเสื่อมคุณภาพของสินทรัพย์และการเติบโตของรายได้ที่อ่อนแอ
คาดบันทึกกำไรจากการขาย NPL ชดเชยตั้งสำรองครั้งเดียวใน 2Q64
เราคาดกำไรไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 980 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% YoY (จาก non-nii ที่สูงขึ้น) แต่ลดลง 13% QoQ (จากต้นทุนเครดิตที่สูงขึ้น) NII น่าจะลดลง 6% YoY เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ซึ่งมีผลมาตั้งแต่ ส.ค.63 เราคาดว่าต้นทุนสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจาก AEONTS จะตั้งสำรองประมาณ 150-200 ล้านบาท จากข้อกำหนดการตัดหนี้สูญใหม่ ซึ่งทำให้บริษัทสามารถตัดจำหน่าย NPL จำนวน 600-800 ล้านบาท ใน 2Q64 เราประเมินว่า AEONTS จะขาย NPLs และรับผลกำไรตามบัญชี 200 ล้านบาทเพื่อชดเชยด้วยการตั้งสำรองครั้งเดียว ในแง่คุณภาพสินทรัพย์ คาดอัตราส่วน NPL ลดลง QoQ จากการตัดหนี้สูญส่วนเกิน ทั้งนี้ AEONTS ตั้งเป้าอัตราส่วน NPL coverage ไม่ต่ำกว่า 200% ในปี 64 เทียบกับ 225% ในไตรมาส 1/64
ผลกระทบจำกัดจากค่าธรรมเนียมการเก็บหนี้ใหม่
ปัจจุบัน AEONTS เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการทวงถามหนี้ 100 บาทต่อเดือน เทียบกับกฎเกณฑ์ใหม่ 50-100 บาท/เดือน ซึ่งจะส่งผลในทางลบต่อรายได้ 10-15 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะชดเชยด้วยการลดต้นทุน ในแง่บวก เราเห็นโอกาสในการเพิ่มรายได้จากกฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้น และการยกเลิกจำนวนผู้ดำเนินการส่วนบุคคลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
มีแผนเปิดตัวสินเชื่อดิจิทัลในเดือน ต.ค. 64
AEONTS วางแผนที่จะเปิดตัวสินเชื่อดิจิทัลกับลูกค้าใหม่ 10,000 รายในเดือน ต.ค. 64 นี้ โดยบริษัทจะเรียกเก็บผลตอบแทนเงินกู้ 25% จากผู้ที่มีเงินเดือนขั้นต่ำ 8,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ ธปท. เพิ่มวงเงินสินเชื่อเป็น 40,000 บาท จาก 20,000 บาท และขยายระยะเวลาสินเชื่อเป็น 12 เดือน จาก 6 เดือน
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ