- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 20 August 2021 13:13
- Hits: 11168
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 20-8-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 20 สิงหาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ดอลล่าร์แข็งค่าต่อเนื่อง
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,530 จุด และแนวต้าน 1,555 จุด เน้นหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว โดย ATO Picks แนะนำ “EPG, CRC”
EPG
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64/65 และครึ่งปีหลังคาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หนุนจากการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP ผสานต้นทุนวัตถุดิบราคาปิโตรเคมีที่ปรับลดลง และ การอ่อนค่าของเงินบาทหนุนเพิ่มเติม (ยอดขายต่างประเทศราว 60-70%)
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 15 บาท
CRC
มาตรการเข้มงวดในไทยอาจกดดันงบใน 3Q64 แต่ราคาหุ้นก็ตอบรับไปมากแล้ว ขณะที่สัญญาณการฟื้นตัวของยุโรป คาดหนุนรายได้ห้างในอิตาลีมี SSSG เป็นบวกเกิน 10% อีกทั้งช่องทางการขายผ่าน Omni channelยัง เติบโตสูงต่อเนื่อง (15% ของยอดขายใน 1H64 จาก 9.5% ในปี 2563)
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 35 บาท
INVESTMENT THEME
ดอลล่าร์แข็งค่าต่อเนื่อง
ภาคแรงงานสหรัฐฯยังฟื้นตัว : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ พบว่าปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.48 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าคาดที่ 3.64 แสนตำแหน่ง และเป็นการลดลงต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ติดต่อกัน สะท้อนภาคแรงงานของสหรัฐฯยังคงฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเด็นนี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจของ FED ในการส่งสัญญาณการปรับลดวงเงิน QE ได้ในช่วงถัดไป โดยเรายังคงประเมินโอกาสที่ FED จะส่งสัญญาณจะอยู่ในช่วง 3Q64 คือ การประชุม Jackson Hole ในวันที่ 26-28 สิงหาคม หรือ การประชุม FED ในวันที่ 21-22 กันยายนนี้
ดอลล่าร์ทะลุต้านอาจกระทบสินทรัพย์อื่น : จากโอกาสที่มากขึ้นที่ FED จะเริ่มส่งสัญญาณการปรับลด QE ในระยะอันใกล้ ยิ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดทะลุแนวต้านเดิมที่ 93.4 จุด ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งอาจกดดันต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มในการย่อตัวลง เช่น ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่าสุดที่ปรับตัวลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน หลุดระดับแนวรับสำคัญเดิมที่บริเวณ 68 เหรียญต่อบาร์เรล โดยจะมีแนวรับสำคัญถัดไปบริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน บริเวณ 63.5 เหรียญต่อบาร์เรล อีกทั้งยังคงแนะระวังค่าเงินบาทที่ยังคงมีความเสี่ยงต่อการทะลุระดับ 33.5 บาทต่อดอลล่าร์เช่นเดียวกัน
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ย่อตัว โดยตลาดยังคงขาดปัจจัยใหม่ๆจึงเริ่มเห็นแรงขายทำกำไรหลังรีบาวน์ขึ้นมาในช่วงก่อนหน้าโดย SET ปิดที่ 1,544.28 (-7.59 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.8 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.2 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 516 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 893 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 5,450 สัญญา)
EYES ON
25-27 ส.ค. Thailand Focus
26-28 ส.ค. การประชุม Jackson Hole
Bumrungrad Hospital (BH TB)
รับอานิสงส์แรงหลังเปิดประเทศ 4Q64
BUY
Share Price THB 129.00
12 m Price Target THB 150.00 (+16%)
Previous Price Target THB 146.00
เพิ่ม TP 3% หนุนโดยรายได้จาก Covid ในปี 64
BH รายงานกำไรหลักไตรมาส 2/64 ที่ 212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% QoQ และ 341% YoY โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดซึ่งเพิ่มขึ้น 321% QoQ และ 372% YoY เป็น 198 ล้านบาท และคิดเป็น 6.6% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาสนี้ เนื่องจากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งและการก่อหนี้จากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง EBITDA margin เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 19% ในไตรมาส 2/64 เพิ่มขึ้นจาก 16% ในไตรมาส 1/64 และ 13% ในไตรมาส 2/63 เราจึงเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นขึ้น 55% ในปี 64 แต่ยังคงประมาณการ EPS ไว้ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป เนื่องจากเราเชื่อว่าโควิดจะค่อยๆ ลดลงในไตรมาส 4/64 และประเทศไทยจะเปิดพรมแดนในไตรมาส 4/64 ผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 67% ของรายได้ปกติของ BH และเป็นผู้รับประโยชน์หลักจากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
แนวโน้ม 3Q64 เป็นบวกต่อเนื่อง
ด้วยจำนวนผู้ป่วยโควิดรายใหม่ของไทยที่เพิ่มเป็น 20,515 รายในวันที่ 16 ส.ค. 64 เทียบกับ 4,786 รายในวันที่ 30 มิ.ย. 64 เราเชื่อว่ารายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ในไตรมาส 3/64 นอกจากนี้ การเปิดประเทศในไตรมาส 4/64 จะทำให้ BH สามารถเริ่มต้อนรับผู้ป่วยต่างชาติได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป แม้ว่าการฟื้นตัวจะอยู่ในระดับปานกลางในไตรมาส 4/64 เราเชื่อว่าการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติจะมีนัยสำคัญตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไป และอาจนำไปสู่การเติบโตของกำไรหลัก 233.1% ในปี 65 (เป็น 1.9 พันล้านบาท) และเพิ่มขึ้น 106.3% ในปี 66 (เป็น 3.9 พันล้านบาท) เท่ากับระดับก่อนโควิด
เปิดประเทศในไตรมาส 4/64 เป็นไปตามแผน
ในสัปดาห์นี้ รัฐบาลได้ประกาศจัดซื้อ Sinovac เพิ่มอีก 12 ล้านโดสเพื่อส่งมอบภายในเดือนกันยายน 2564 ส่งผลให้ภายในเดือนตุลาคมปีนี้จะมีวัคซีน 75.9 ล้านโดส และเพียงพอที่จะฉีดวัคซีนเข็มแรกให้คนไทยได้ 70% (50 ล้านคน) ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำคัญในการเปิดประเทศอีกครั้ง เราเชื่อว่าการเปิดประเทศเป็นไปตามแผน รายได้จากโควิดทจะลดลงในไตรมาส 4/64
การฉีดวัคซีนล่าช้าเป็นความเสี่ยง
เราใช้วิธี DCF ประเมินราคาเป้าหมาย (WACC 6.3%, การเติบโต 2%) และเลื่อนไปใช้ราคาเป้าหมายปี 65 เราคาดการณ์ว่ารายได้ของ BH จะค่อยๆ ฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/64 เป็นต้นไป เนื่องจากผู้ป่วยต่างชาติเริ่มกลับมา ความล่าช้าในการฉีดวัคซีนเป็นความเสี่ยงสำคัญ เนื่องจากจะทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัวช้า
Yuwanee Prommaporn
(66) 2658 5000 ext 1393
Eastern Polymer Group (EPG)
2Q & 2564/65 จะทำสถิติสูงสุดต่อ
BUY
Share Price THB 12.60
12 m Price Target THB 15.00 (+19%)
Previous Price Target THB 15.00
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64/65 และ 2564/65 ยังมีโมเมนตัมด้านบวก และ คาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบราคาปิโตรเคมีที่ปรับลดลง และ การอ่อนค่าของเงินบาท จะส่งผลบวกต่อ EPG จากมีสัดส่วนยอดขายในต่างประเทศประมาณ 60-70% เราคงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC 8%, LTG 3%) ได้เท่ากับ 15 บาท
ผู้บริหารคงเป้าหมายปี 2564/65 จะเติบโตดี
การประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (19 ส.ค.) ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการ ปี 2564/65 (เม.ย. 2564 – มี.ค. 2565) จะเติบโตดี คงตั้งเป้ายอดขายประมาณ 11,000 ล้านบาท เติบโต 12-15% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 29%-32% เทียบกับปีก่อน 31.1% ธุรกิจของ EPG ทั้งสามธุรกิจ มีแนวโน้มจะเติบโต คือ 1) ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) ตั้งเป้าจะเติบโต 10-12% โดยเฉพาะสหรัฐเติบโตสูง ขยายกำลังการผลิตเท่าตัว และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 41-43% ใกล้เคียงปีก่อน 2) ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) ตั้งเป้าจะเติบโต 20-23% จากส่งออก มีอัตรากำไรขั้นต้น 30-33% ใกล้เคียงปีก่อน และ 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) ตั้งเป้าหมายจะเติบโต 5-8% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 19-21% ดีขึ้นจากปีก่อน 18.6%
เงินบาทอ่อนค่า และ ราคาวัตถุดิบลง ส่งผลบวก
ราคาปิโตรเคมีเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของ EPG ปัจจุบันได้อ่อนตัวลง จะทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวกับปิโตรเคมีเทียบกับยอดขายของ EPG คือ AeroFlex 20% , AeroKlas 35-40% และ EPP 50% ในขณะที่ EPG ได้ทยอยปรับราคาขึ้นตั้งแต่เดือน เม.ย. ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้น และ การอ่อนค่าของเงินบาทจะส่งผลบวกทำให้ยอดขายต่างประเทศที่มีสัดส่วนประมาณ 60-70% มีรายได้เป็นเงินบาทมากขึ้น นอกจากนี้จะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากที่ลูกหนี้เป็นดอลลาร์จะมากกว่าเจ้าหนี้ดอลลาร์ ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์
คาดผลประกอบการ 2Q64/65 และ 2564/65 จะทำสถิติสูงสุดใหม่
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64/65 (ก.ค. – ก.ย. 2564) ยังมีโมเมนตัม ด้านบวกต่อเนื่อง และ มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อ หลังจากที่ไตรมาส 1Q64/65 (เม.ย.-มิ.ย.) สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ มีกำไรสูงถึง 448 ล้านบาท (+11%QoQ, +492%YoY) แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ เราคงประมาณการคาดยอดขายปี 2564/65 เท่ากับ 11,697 ล้านบาท โต 22% และมีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,652 ล้านบาท โต 36% ประมาณการของเรายังค่อนข้างอนุรักษ์นิยมเพราะ กำไรไตรมาสแรก 1Q64/65 มีสัดส่วนคิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
TMT Steel (TMT)
3Q64 จะชะลอตัว แต่ยังเด่น
BUY
Share Price THB 11.00
12 m Price Target THB 13.00 (+18%)
Previous Price Target THB 13.00
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 3Q64 จะยังเด่นประมาณ 250-300 ล้านบาท แม้ว่าจะชะลอตัวจาก 2Q64 ที่มีกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ 605 ล้านบาท จากราคาเหล็กที่ยังปรับตัวสูงขึ้น สเปรดเหล็กปลายน้ำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ TMT จะยังดีต่อในไตรมาสสี่ แรงหนุนจาก TMT มีสินค้าครบ ขายสินค้าบวกด้วย Solution และ บริการ ในขณะที่คู่แข่งมีความไม่พร้อม เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดปี 2564 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,448 ล้านบาท โต 169% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ต่ำ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนดี นอกจากนี้ TMT ได้รับสถานะกิจการวิถียั่งยืน “ESG100 Company” ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 เราคงแนะนำ TRADING BUY ประเมินเป้าหมายปีนี้ 13 บาท
3Q64จะยังเด่น แม้ชะลอตัว
TMT มีกำไร 2Q64 ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ 605 ล้านบาท (+43%QoQ, +610%YoY) จากราคาเหล็กขึ้นแรงสู่ระดับ 30.61 บาท/กก. (+24%QoQ, +66%YoY) สำหรับแนวโน้ม 3Q64 จะยังได้ประโยชน์จากราคาขายของ TMT ที่ยังปรับขึ้นต่อ แม้ว่าจะไม่แรงเหมือน 2Q64 คือ ราคาขาเดือน ก.ค. 32.9 บาท/กก. และ ส.ค. 33.8 บาท/กก. ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะยังอยู่ในเกณฑ์ดีประมาณ 12% เนื่องจากข้อจำกัดของสินค้า ผู้ผลิตเหล็กรายอื่นประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ Covid-19 ส่วน TMT มีโรงงานที่วังน้อย ควบคุมได้ดี ฉีดวัคซีนให้พนักงาน รวม Outsource ครบ 2 เข็ม แล้ว ร่วม 1,400 คน ดังนั้น กำไรไตรมาส 3Q64 จะยังเด่นประมาณ 250-300 ล้านบาท
ปรับประมาณการขึ้น แม้ว่าปรับเป้าหมายปริมาณขายลง แต่ราคาขึ้น
ปีนี้การผู้บริหารปรับลดเป้าหมายปริมาณขายลงเหลือ 720,000 ตัน ลดลงประมาณ 5% แต่ราคาเหล็กที่ปรับขึ้น ซึ่งใน 4Q64 มีแนวโน้มจะอยู่ประมาณ 34 บาท/กก. จะทำให้มูลค่ายอดขายเติบโตสูง ผู้บริหารมองสเปรดเหล็ก สำหรับเหล็กปลายน้ำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ TMT จะยังดีต่อในไตรมาสสี่ โดย TMT มีสินค้าครบ ขายสินค้าบวกด้วย Solution และ บริการ ในขณะที่คู่แข่งมีความไม่พร้อม เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดปี 2564 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 1,448 ล้านบาท โต 169% แต่ปี 2565คาดกำไรจะลดลง 42% เหลือ 835 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานราคาเหล็กทรงตัว
หุ้นเหล็กที่ปันผลดี คาดปันผลครึ่งหลังไม่น้อยกว่าครึ่งแรก 0.60 บาท
TMT จ่ายปันผลกำไรครึ่งปีแรกเท่ากับ 0.60 บาท คิดเป็น 50% ของกำไรครึ่งปีแรก ผู้บริหารประเมินครึ่งปีหลังจะปันผลไม่น้อยกว่าครึ่งปีแรก เราคาดปันผลกำไรปีนี้ 1.35 บาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2564 ที่ต่ำ 6.6 เท่า ปันผลตอบแทน 12.2% แต่จะแพงขึ้นในปี 2565 คือ P/E 11.5 เท่า และ เงินปันผลตอบแทน 7.1% เราประเมินราคาเป้าหมาย เท่ากับ 13 บาท บนฐานค่าเฉลีย 10 ปี Forward P/E 10 เท่า ของกำไรปี 2564 และ 2565 คงแนะนำ TRADING BUY
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ