WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
  ณ SET ที่มี Current P/E เกิน 16 เท่า ยังแนะขายหุ้นแพง/upside จำกัด (DELTA, HANA, PTT) มาซื้อหุ้นที่ลงลึก กลุ่มปิโตรเคมี/พลังงาน หลังผ่านเรื่องร้ายๆ มาแล้ว (PTTGC, TOP) วันนี้เลือก TOP(FV@B52) เป็น Top pick นักวิเคราะห์ ASP ได้ปรับคำแนะนำจากเดิม ถือ เป็น ซื้อ

ต่างชาติซื้อภูมิภาคหนักขึ้น แต่เลือกเป็นรายประเทศ
  วานนี้ ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาค ต่อเนื่องเป็นวันที่ 11 ราว 570 ล้านเหรียญฯ และเพิ่มขึ้นอย่างมากจากวันก่อนหน้าที่ซื้อสุทธิเพียง 31 ล้านเหรียญฯ และเป็นการซื้อสุทธิถึง 4 จาก 5 ประเทศ โดยซื้อสุทธิอย่างหนักในไต้หวันราว 521 ล้านเหรียญฯ (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 11 และเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่า 6 เท่าตัว) ส่วนประเทศอื่นซื้อสุทธิเบาบางกล่าวคือ ไทย ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 ราว 25 ล้านเหรียญฯ (822 ล้านบาท, ลดลงจากวันก่อนหน้า 39%) ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 15 ล้านเหรียญฯ (ซื้อสลับขายสุทธิใน 4 วันหลังสุด) เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่สลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 11 ล้านเหรียญฯ (ขายสุทธิติดต่อกัน 4 วันก่อนหน้า) สวนทางกับฟิลิปปินส์ที่ยังขายสุทธิเป็นวันที่ 2 แต่เบาบางเพียง 1 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น (ลดลงถึง 88% จากวันก่อนหน้า)
  เป็นที่สังเกตว่ากลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ เริ่มซื้อแผ่วลง และสลับมาขายสุทธิใน 3 จาก 4 วันหลังสุด ซึ่งน่าจะเป็นการชะลอการซื้อหลังจากที่นักลงทุนกลุ่มนี้ซื้อสุทธิต่อเนื่องตั้งแต่ 7 ต.ค. – 4 พ.ย. 57 รวมกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท สวนทางกับนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มกลับมาซื้อสุทธิ 5 วันหลัง รวม 5.2 พันล้านบาท ขณะที่ในตลาดตราสารหนี้ของไทย นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสลับขายสุทธิเบาบางรายวัน โดยที่วานนี้ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 720 ล้านบาท รวมตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. 57 ซื้อสุทธิเล็กน้อยราว 2.8 พันล้านบาทเท่านั้น

น่าจะเป็นรอบของหุ้นที่ Underperform : PTTGC, TOP
  ราคาน้ำมันดิบดูไบที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมาหรือลดลงราว 27% จากระดับสูงสุด 110 เหรียญฯ เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ลงมาที่ระดับ 80 เหรียญฯ ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี (ครั้งสุดท้ายเมื่อ 30 ต.ค. 2553) ขณะที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับลดลงในอัตราน้อยกว่า ทั้งนี้เป็นผลจากการนำเข้าน้ำมันเบนซินจากยุโรปและตะวันออกกลางที่มีราคาต่ำกว่าภูมิภาค ส่งผลให้อุปทานน้ำมันเบนซินในแถบเอเชียอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปสงค์น้ำมันดีเซลในภูมิภาค ยังคงเบาบางจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตามคาดว่าฤดูกาลฤดูหนาวที่กำลังจะเข้ามาในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะเป็นปัจจัยหนุนให้ค่าการกลั่นยืนอยู่ในระดับ 5 เหรียญฯต่อบาร์เรลในช่วงที่เหลือของปีนี้
  อย่างไรก็ตาม เช้านี้พบว่า ค่าการกลั่นสิงคโปร์กลับมาแตะระดับ 7.75 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วง ก.ย. 2557 และน่าจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นโรงกลั่น (Simple Refinery) ในระยะสั้น ๆ โดยเฉพาะหุ้น ESSO, BCP (FV@B36) สำหรับ BCP จะหันไปใช้ Fair Value ปี 2558 หลังประกาศงบงวด 3Q57 ในสัปดาห์นี้ แม้คาดว่าผลกำไรไม่สดใส แต่ คาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวในงวด 4Q57 จากค่าการกลั่นที่ปรับสูงขึ้นในช่วงปลายปีเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว และปริมาณขายน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เต็มที่ทั้ง 3 เฟส ซึ่งทำให้โดยรวมปี 2557 ผลการดำเนินงานจะติดลบ 13% เป็นผลจากรับรู้ขาดทุนสต็อกน้ำมันเป็นหลัก แต่คาดว่าในปี 2558 จะกลับมาเติบโตได้ 16% ซึ่งเชื่อว่าปัจจัยลบเหล่านี้น่าจะสะท้อนว่า BCP ราคาหุ้นไปแล้ว ที่สำคัญมีค่า Expected P/E ต่ำเพียง 11.3 เท่าในปี 2557 และลดลงเหลือ 9.7 เท่าในปี 2558 ขณะที่เงินปันผลจ่ายสูงเกินกว่าปีละ 4.4%
  ค่าการกลั่นที่ดีขึ้นตามฤดูกาลนี้น่าจะส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น คือ TOP (FV’58@B52) และ PTTGC (FV’58@B75) ซึ่งมีความแตกต่างกันตรงสัดส่วนธุรกิจโรงกลั่นคือ TOP มีผลการดำเนินงานจากโรงกลั่นสัดส่วน 70% จึงได้ประโยชน์จากค่ากลั่นที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้น ส่วนที่เหลือ 25% เป็นอะโรเมติกส์ ซึ่งธุรกิจอะโรเมติกส์ยังคงถูกกดดันจากราคาพาราไซลีน (Px) ตกต่ำจากปริมาณผลิต Px ที่เกินความต้องการในตลาดโลก แต่หากพิจารณา Spread ระหว่างผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง PTA - Px เริ่มทรงตัว เมื่อเทียบกับงวด 3Q57 และคาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในงวด 4Q57 ต่อเนื่องปี 2558 และเช้านี้ นักวิเคราะห์ ASP ได้ปรับเพิ่มปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” เนื่องจากราคาหุ้นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาได้ปรับลดลงต่อเนื่องกว่า15% สะท้อนปัจจัยลบในเรื่องของผลกำไรน่าจะผ่านจุดเลวร้ายสุดไปแล้วในงวด 3Q57 ทำให้ราคาหุ้นในปัจจุบันมี Upside จากมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2558 ที่ 52 บาทต่อหุ้น กว่า 15.5% ขณะที่ค่า P/E น่าจะลดลงเหลือ 13 เท่าในปี 2558 จาก 29 เท่าในปีนี้ (ติดตามอ่านได้จากรายงาน Equity Talk ฉบับเช้าวันนี้)
  ส่วน PTTGC ผลการดำเนินงานมาจากโรงกลั่นเพียง 25% อะโรเมติกส์ 25% และที่เหลือส่วนใหญ่ 50% มาจากโอเลฟินส์ จึงได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่ฟื้นตัวในระยะสั้นไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าธุรกิจโอเลฟินส์มีสัญญาณที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดพบว่า ราคาเม็ดพลาสติก LDPE และ HDPE มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหนุนให้ Spread ทั้ง ผลิตภัณฑ์ HDPE-Naptha และ LDPE-Naptha มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 826 เหรียญ/ตัน (ทำระดับสูงสุดในรอบ 8 ปี) และ 836 เหรียญ/ตัน (ทำระดับสูงสุดในรอบ 1 ปี) ตามลำดับ (เทียบกับเฉลี่ยในงวด 3Q57 ที่ราว 613 เหรียญ/ตัน เท่ากันทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์) และแนวโน้มในงวด 4Q57 จนถึงปี 2558 น่าจะสดใสต่อเนื่อง ทำให้ PTTGC มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม โดยยังมีค่า Expected P/E ที่ต่ำเพียง 9.7 เท่าในปี 2557 และ 8.4 เท่าในปี 2558 และยังมีเงินปันผลสูง 4.8% จึงยังเลือก PTTGC เป็น Top pick

กลยุทธ์การลงทุน พ.ย.-ธ.ค. เลือกหุ้นที่ลงลึก
  ดังที่กล่าวไปเมื่อวานนี้ว่า คาดว่าในช่วงที่เหลืออีก 2 เดือนของปีนี้ ดัชนีน่าจะผันผวน เพราะแม้ได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนประหยัดภาษี หรือ LTF ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลในอดีต 5 ปีย้อนหลัง พบว่าราว 89% ของยอดซื้อทั้งปี จะมากระจุกตัวอยู่ในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ของทุกปี และแรงซื้อส่วนใหญ่จะมาเทน้ำหนักในเดือน ธ.ค. ของทุกปี แต่ด้วยดัชนีตลาดหุ้นไทย มี Expected P/E ที่สูงเกิน 16 เท่า และระดับราคาหุ้นรายตัวได้ขึ้นมาใกล้ Fair Value ทำให้มี upside จำกัด จึงทำให้มีแรงขาย สลับ ซื้อ หุ้นรายตัว จึงยังคงเน้นกลยุทธ์เดิม คือ ให้ถือเงินสดส่วนใหญ่ 70% ที่เหลือ 30% เลือกหุ้นรายบริษัทที่มีพื้นฐานรองรับ โดยเป็นหุ้นที่ควรมีคุณสมบัติดังนี้ EPS Growth, Low P/E, High Dividend yield หรือมี upside สูง ได้แก่ STPI([email protected]), RML([email protected]), PTTEP(FV@B180), SPALI([email protected] และ 31.96 บาทปี 2558 จะใช้หลังประกาศงบงวด 3Q57)
  จากการศึกษาเชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 6 ปี พบว่าหุ้นที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความน่าจะเป็นสูง ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี มักเป็นหุ้นในกลุ่มส่งออก แต่พบว่าหุ้นหลายบริษัทได้ขึ้นมาสูงมาก ในระยะสั้น จึงแนะนำให้ขายทำกำไร ได้แก่ DELTA, HANA และ TUF เป็นต้น ตรงกันข้ามแนะนำหุ้นที่ปรับตัวลงลึก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งตลอดปีนี้ ให้ผลตอบแทนต่ำสุด เช่น PTTGC, TOP, PTTEP เป็นต้น จึงน่าจะเป็นโอกาสซื้อสะสม ยกเว้น PTT ราคาหุ้นปรับขึ้นกว่า 20% ในช่วง 1 เดือนเศษ เป็นการสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกต่อ การที่รัฐมีนโยบายที่จะปรับราคาขายก๊าซธรรมชาติ ทั้ง NGV และ LPG ให้เป็นไปตามราคาในตลาดโลกมากขึ้น ช่วยลดภาระขาดทุน/ต้นทุนของ PTT ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้หมดไป ซึ่งหมายถึงจะทำให้กำไรสุทธิของ PTT จะเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากประมาณการปัจจุบัน แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นเพียงความหวัง เท่านั้น จะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่าไม่มีใครรู้ (หรือรู้อยู่ไม่กี่คน) แต่ราคาหุ้นได้ขึ้นไปรอแล้ว จึงไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงมาก

ภรณี ทองเย็น, CISA
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!