- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 16 July 2021 17:18
- Hits: 2272
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 16-7-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 16 กรกฎาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ติดเชื้อ New High
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นกำไร 2Q64 ทำจุดสูงสุดใหม่ โดย ATO Picks แนะนำ “BCH, MCS”
BCH
คาดกำไร 2Q64 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 496 ล้านบาท แรงหนุนจากยอดการตรวจ COVID-19 ในช่วง 2Q64 ที่เร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผ่านรายได้เพิ่มจาก Hospitel โดยรวมจึงหนุน EBITDA Margin มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น QoQ สู่ระดับ 32.2% จาก 1Q64 ที่ 29.7%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 26 บาท
MCS
คาดกำไร 2Q64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ 320 ล้านบาท (+37%QoQ, +42%YoY) จากการส่งมอบงานเหล็กโครงสร้างที่สูง และ มีงานที่ค้างส่งมอบในไตรมาสแรก ผสาน Backlog คาดสูงถึง 1 แสนตัน ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 2564 ต่ำเพียง 6.7 เท่า และคาดอัตราปันผลสูงถึง 8.2%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 18.5 บาท
INVESTMENT THEME
ติดเชื้อ New High
ธปท.ออกมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน : มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการของภาครัฐฯยังทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยวานนี้ ธนาคารแห่งประเทศ จับมือกับสมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ ออกมาตรการพักชำระหนี้ 2 เดือน แก่ลูกหนี้ SME และรายย่อย อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวเป็นเพียงการเลื่อนการชำระหนี้และดอกเบี้ยออกไป (ดอกเบี้ยยังมีการคิดตามปกติ) ดังนั้นจึงถือว่ามาตรการนี้ไม่ได้กระทบต่อรายได้ของธนาคารพาณิชย์ ถือเป็นการปลดล็อกความกังวลในช่วงสั้น ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีแรงเก็งกำไรเมื่อวานนี้
ภาคแรงงานสหรัฐฯยังฟื้นตัว : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ ซึ่งพบว่ายังคงปรับตัวลดลงสู่ระดับ 3.6 แสนราย จากสัปดาห์ก่อนที่ 3.86 แสนราย ทำจุดต่ำสุดตั้งแต่สหรัฐฯเผชิญกับการแพร่ระบาด COVID-19
ตัวเลขติดเชื้อในประเทศเช้านี้ New High : จากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่ยังยากต่อการควบคุม ส่งผลให้ตัวเลขการติดเชื้อเช้านี้ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 9,692 คน ยังคงเป็นแรงกดดันหลักต่อการฟื้นตัวของดัชนี ดังนั้นยังคงต้องระมัดระวังการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยอาจรอจังหวะย่อ เป็นโอกาสทยอยสะสมหุ้นคาดแนวโน้มกำไรเด่น
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideways โดยมีแรงซื้อเด่นในหุ้น DELTA และมีแรงพยุงในกลุ่มธนาคาร โดย SET ปิดที่ 1,572.01 (+2.31) มูลค่าการซื้อขาย 8.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.3 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 2,439 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 151 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 12,282 สัญญา)
EYES ON
16 ก.ค. ดุลการค้ายูโรโซน, CPI ของ ยูโรโซน
Frasers Property Thailand (FPT TB)
บริษัทอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
HOLD
Share Price THB 11.80
12 m Price Target THB 13.70 (+16%)
เริ่มต้นคำแนะนำ “ถือ”
FPT เป็นบริษัทในเครือ Frasers Property ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ดำเนิน 3 ธุรกิจ 1) ที่อยู่อาศัย 2) นิคมอุตสาหกรรม และ 3) พาณิชยกรรม สำนักงาน และโรงแรมที่มีรายได้คิดเป็น 72%/20%/8% ของรายได้รวมในปี 63 ปัจจุบัน สินทรัพย์กลุ่มนิคมฯเป็นกลุ่มเดียวที่น่าสนใจโดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ (OR) สูงขึ้น และมีแนวโน้มขยายตัวในผู้เช่าทั้งในและต่างประเทศ แม้ปี 64 ผลกำไรของ FPT จะชลอบ้าง แต่เราประเมินการเติบโตของกำไรที่ +10-15% ต่อปี ในอีก 2 ปีข้างหน้า เริ่มต้นคำแนะนำ HOLD และ ราคาเป้าหมาย SOTP-based TP ที่ 13.7 บาท จากพอร์ตอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม/เชิงพาณิชย์ที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในภายหลังผ่าน REIT และโอกาสผนึกกำลังกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ กลุ่ม Frasers ในตลาดต่างประเทศและ TCC กลุ่มบริษัทในเครือ/เจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ตลาดบ้านระดับกลางล่างยังคงได้รับความกดดัน
ธุรกิจที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ Golden ซึ่งติดอันดับท็อป 5 ของประเทศไทย ได้รับผลกระทบตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยมีอัตราการปฏิเสธ/ยกเลิกสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม 50% และอัตรากำไรที่ลดลง FPT คาดทั้งยอดขายล่วงหน้า/รายได้จะหดตัว 5-10% YoY ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเป็น 27% จากปกติ +30% เราคาดจะเติบโตเพียงหลักเดียวในอีกสองปีข้างหน้า
ลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานสินทรัพย์
สินทรัพย์เชิงพาณิชย์ (ยกเว้นสำนักงาน) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 และการฟื้นตัวดูเหมือนจะไม่ราบรื่น ขณะที่สินทรัพย์ในนิคมอุตสาหกรรมยังคงเป็นดาวเด่น FPT จะยังคงรุกขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างพอร์ตสินทรัพย์ การขายสินทรัพย์จะช่วยสร้างกระแสเงินสดและกำไรเพิ่มเติม และยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิเอาไว้
ซื้อขายที่พรีเมียม
FPT ซื้อขายในระดับพรีเมียมเทียบกับนักพัฒนาที่อยู่อาศัยอื่นๆ เนื่องจากมีพอร์ตโฟลิโอที่มีความหลากหลายด้วยอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม เชิงพาณิชย์ และที่อยู่อาศัย ราคาเป้าหมายของเราคือ 13.7 บาท อัพไซด์ต่อกำไรสุทธิปี 64 ของเราคือกำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรมเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
Vanida Geisler, CPA
(66) 2658 6300 ext 1394
M.C.S. Steel (MCS)
คาดกำไร 2Q64 จะกลับมาเด่นและทำสถิติ
BUY
Share Price THB 14.40
12 m Price Target THB 18.50 (+28%)
Previous Price Target THB 18.50
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 2Q64 จะกลับมาเด่น และ ทำสถิติสูงสุดใหม่ 320 ล้านบาท (+37%QoQ, +42%YoY) จากการส่งมอบงานเหล็กโครงสร้างที่สูง และ มีงานที่ค้างส่งมอบในไตรมาสแรกมารวมส่งมอบในไตรมาสนี้ Backlog สูงถึง 1 แสนตัน ผู้บริหารเตรียมบินไปญี่ปุ่นหลังกีฬาโอลิมปิค เจรจาและลงนามเพิ่ม 3 โครงการ รองรับรายได้ถึงปี 2566 ราคาหุ้นซื้อขาย P/E ปี2564 ต่ำ 6.7 เท่า เงินปันผลตอบแทน 8.3% (คาดปันผลครึ่งปีแรกเพิ่มเป็น 0.50-0.60 บาท) เราคงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 เท่ากับ 18.5 บาท บนฐาน Average P/E - 0.5*SD เท่ากับ 8.6 เท่า
คาดกำไร 2Q64 จะกลับมาเด่น 320 ล้านบาท (+37%QoQ, +42%YoY)
ปริมาณส่งมอบเหล็กโครงสร้างไปญี่ปุ่น 2Q64 คาดจะสูงถึง 19,500 ตัน (+50%QoQ, +24%YoY) ทำให้มูลค่ายอดขายเพิ่มเป็น 1,527 ล้านบาท (+30%QoQ, +35%YoY) เนื่องจากไตรมาสนี้จะมีเหล็กโครงสร้างที่ค้างส่งมอบมาจากไตรมาสแรกรวมด้วย อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะอยู่ในเกณฑ์ดี 37% จาก 41.5% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากมีเหล็กโครงสร้างจากโรงงาน Xiamen ด้วยประมาณ 5,000 ตัน ซึ่งมีราคาต่ำกว่า ในขณะที่ดีกว่าปีก่อน 35.7% เนื่องจาก รับรู้โครงการ Toranormon Azabudai และ Toranomon 1,2 chome ซึ่งมีราคาเฉลี่ยที่สูง รวมแล้วคาดจะมีกำไร 2Q64 ที่กลับมาเด่น และ ทำสถิติสูงสุดใหม่เท่ากับ 320 ล้านบาท (+37%QoQ, +42%YoY)
หลังโอลิมปิคเตรียมลงนามใหม่อีก 3 โครงการ
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. MCS ได้เซ็นสัญญารับจ้างผลิตงานเหล็กโครงสร้างใหม่จำนวน 3 โครงการ มีปริมาณน้ำหนักงานรวม 51,600 ตัน ทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนตัน และ หลังมหกรรมกีฬาโอลิมปิก Tokyo 2020 ผู้บริหารเตรียมที่จะบินไปเจรจา และ ลงนามกับบริษัทญี่ปุ่น อีกประมาณ 3 โครงการ เพื่อรองรับงานเหล็กโครงสร้างถึงปี 2566 ทำให้ปี 2564-2566 จะมีงานที่จะส่งมอบเหล็กโครงสร้างปีละประมาณ 4-5 หมื่นตัน
แนวโน้มผลประกอบการปีนี้จะเติบโตต่อเนื่อง
แนวโน้มปี 2564 จะรับรู้โครงการ Toranormon Azabudai และ Toranomon 1,2 chome อย่างเต็มที่มากขึ้น และ เป็นงานประเภท S-Grade ซึ่งมีกำไรดี และ จาก MCSได้รับอนุญาตดำเนินการจัดตั้งสถานที่กักกันในรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organizational Quarantine) ประเภท ข จากกรมควบคุมโรค ทำให้ลูกค้าจากญี่ปุ่นสามารถที่จะเดินทางมาตรวจงาน และ ติดต่องานได้สะดวกขึ้น ทำให้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการส่งมอบงาน เราคงประมาณการประเมินยอดรับรู้รายได้เท่ากับ 4,502 ล้านบาท เติบโต 5.9% คาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,031 ล้านบาท โต 8%
ความเสี่ยง : ภาวะการสร้างตึกสูงในประเทศญี่ปุ่น / ค่าเงินเยนเทียบกับบาท
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
TISCO Financial Group (TISCO TB)
พร้อมรับมือเศรษฐกิจอ่อนแอ
BUY
Share Price THB 91.50
12 m Price Target THB 110.00 (+20%)
Previous Price Target THB 110.00
ภาพกำไรชัดเจน ROE และผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
เรามั่นใจในคุณภาพสินทรัพย์และระดับเงินทุนที่แข็งแกร่งของ TISCO ซึ่งสามารถจ่ายปันผลและรองรับผลกระทบเชิงลบต่อผลประกอบการได้ ทิสโก้จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านสินเชื่อรถยนต์และการบริหารความมั่งคั่งเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตเมื่อการระบาดสามารถควบคุมได้และคงรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงเพื่อเพิ่ม ROE ทิสโก้มีแนวโน้มทำกำไรดีกว่าเมื่อเทียบกับแบงก์อื่น ๆ เนื่องจากมี NPL coverage และความสามารถในการทำกำไรสูง คงคำแนะนำ ซื้อ และราคาเป้าหมาย 110 บาท (2.1x P/BV ปี FY21E, ROE 17.7%) ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนสินเชื่อที่สูงกว่าที่คาดและ NIM ที่ลดลง
กำไร 2Q64 โต 25% YoY จาก non-NII สูงขึ้นและต้นทุนเครดิตลดลง
TISCO รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/64 ที่ 1.66 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoY (ลดลง 6% QoQ) เนื่องจาก non-NII ที่สูงขึ้นและต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง กำไรครึ่งปีแรกเติบโต 22% YoY และคิดเป็น 51% ของประมาณการทั้งปีของเรา สินเชื่อลดลง 6.2% YoY และ 3.1% QoQ เนื่องจากทิสโก้ได้ปรับนโยบายการพิจารณาให้สินเชื่อให้เข้มงวดขึ้น ขณะที่ NIM เพิ่มขึ้น 20bps QoQ เป็น 4.79% ใน 2Q64 Non-NII เพิ่มขึ้น 27% YoY เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรจากการลงทุนที่สูงขึ้น แต่ลดลง 21% QoQ เนื่องจากผลกระทบจากฐานที่สูงของการบริหารสินทรัพย์และค่าธรรมเนียม IB ที่เติบโตดีในไตรมาส 1/64 โดย TISCO ตั้งสำรอง 565 ล้านบาท (ค่าเครดิต 1.0%) ในไตรมาส 2/64
ผลกระทบจำกัดจากการพักชำระหนี้ 2 เดือน ช่วง ก.ค. - ส.ค.
CFO ชี้แจงว่าผู้กู้ที่สามารถเข้าร่วมโครงการต้องได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการของรัฐบาล ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจะเข้าสู่โครงการปรับโครงสร้างหนี้ โดยธนาคารจะรับรู้รายได้และจัดประเภทเป็นดอกเบี้ยค้างรับเนื่องจากเป็นรายการที่ไม่ใช่เงินสด ทิสโก้ยังเสนอการปรับลดหนี้ให้แก่ลูกค้าสินเชื่อรถยนต์ (สูงสุด 50,000 บาทต่อลูกค้าหนึ่งรายหลังการประมูลรถ) จนถึงเดือนกันยายน 2564 และมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ 400 รายในขณะนี้ เทียบกับเป้าหมาย 3,000 ราย
NPL coverage ปัจจุบันเพียงพอสำหรับอัตราส่วน NPL 3.5%
CFO ชี้ว่าคุณภาพสินทรัพย์ดีกว่าที่คาดในครึ่งปีแรก มีเพียง 3.4% ของสินเชื่อทั้งหมดที่ขอขยายเวลาโครงการบรรเทาหนี้ ณ ไตรมาส 2/64 (2.8% ในไตรมาส 1/64) ผู้บริหารระบุว่า NPL coverage ที่ 214% ในปัจจุบันเพียงพอสำหรับอัตราส่วน NPL 3.5% หรือ NPL ใหม่ 1.6 พันล้านบาท แม้ว่าอัตราส่วน NPL จะเพิ่มขึ้น 23bp QoQ เป็น 2.74% แต่สินเชื่อระยะที่ 2 ลดลง 7% QoQ และคิดเป็น 11.6% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 2/64 เราคาดต้นทุนเครดิตที่ 100bp ในครึ่งปีหลัง เทียบกับ 127bps ในครึ่งปีแรก
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ