- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 15 July 2021 16:10
- Hits: 11137
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 15-7-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 15 กรกฎาคม 2564
INVESSMENT STRATEGY
Sideways :
FED ยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นกำไร 2Q64 ดี โดย ATO Picks แนะนำ “SCC, MTC”
SCC
คาดกำไร 2Q64 จะทำจุดสูงสุดในรอบ 17 ไตรมาสที่ 15,000 ล้านบาท (+1%QoQ, +60%YoY) แรงหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมี โดยกำลังการผลิตใหม่ MOCD หนุนปริมาณขายเพิ่มเป็น 5 แสนตัน (+2%QoQ, +2%YoY) และ ได้สเปรด HDPE, PP และ PVC ดีในครึ่งแรกของ 2Q64
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 520 บาท
MTC
คาดกำไร 2Q64 ที่ 1.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% YoY และทรงตัว QoQ หนุน แรงหนุนจากสินเชื่อ 2Q64 คาดจะเติบโต 26.0% YoY และ 7.9% QoQ แตะ 5.5 -6.0 พันล้านบาท เติบโตรายไตรมาสที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ผสานการควบคุมต้นทุนที่ดี คาดชดเชย NIM ที่ลดลง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 68 บาท
INVESTMENT THEME
FED ยังไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย : จากถ้อยแถลงของนายเจอโรม โพเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่แถลงภาพรวมรอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อคณะกรรมกาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎร เมื่อคืนที่ผ่าน โดยใจความหลัก คือ โพเวลมองว่าจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ อาจจะเร็วเกินไปหากจะต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย บ่งชี้ถึงการลดวงเงิน QE ในระยะอันใกล้อาจยังไม่เกิดขึ้น รวมถึง FED อาจไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยเร็วเกินไปนัก แม้ว่าเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และในช่วง 1-2 เดือนยังมีโอกาสอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าระยะถัดไปเงินเฟ้อจะค่อยๆ ลดลงมาสู่ระดับปานกลาง จากมุมมองดังกล่าวถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อตลาดหุ้น
จับตารายงานกำไรกลุ่มธนาคาร : เข้าสู่ช่วงการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน โดยจะเริ่มที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราคาดกำไรรวมที่ 3.53 หมื่นล้านบาท +53% YoY (จากต้นทุนเครดิตที่ลดลง) แต่ลดลง -10% QoQ (เนื่องจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้นและ NIM ที่ลดลง) โดยการเติบโตของสินเชื่อมีแนวโน้มดีขึ้น QoQ ขณะที่ NIM น่าจะได้รับแรงกดดันจากลูกค้าต้องการเข้าโครงการบรรเทาหนี้จากการระบาดระลอกใหม่ โดย TISCO คาดจะรายงานเป็นธนาคารแรกวันนี้ที่ 1,728 ล้านบาท (+30%YoY, -2%QoQ) ส่วนธนาคารอื่นคาดจะรายงานในช่วงวันที่ 19-21 ก.ค.
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งแคบ มีแรงกดดันจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯที่เร่งตัวขึ้น แต่ก็มีแรงซื้อกลับในหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไรดี โดย SET ปิดที่ 1,569.70 (-1.29) มูลค่าการซื้อขาย 7.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.5 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 887 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 461 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 5,569 สัญญา)
EYES ON
14 ก.ค. PPI ของ US, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน, ปธ.เฟดแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำสภาผู้แทนราษฎร
15 ก.ค. ดัชนี 2Q64 GDP ของจีน, ยอดขายบ้านใหม่ของจีน, ยอดขายปลีกของจีน, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีน, ปธ.เฟดแถลงต่อคณะกรรมาธิการประจำวุฒิสภา
16 ก.ค. ดุลการค้ายูโรโซน, CPI ของ ยูโรโซน
CP All (CPALL)
คาดกำไร 2Q64 ลดแต่จะฟื้นตัวใน 2H64
BUY
Share Price THB 60.50
12 m Price Target THB 67.00 (+11%)
Previous Price Target THB 69.00
ประเด็นการลงทุน
ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และการบันทึกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์จะทำให้กำไร 2Q64 ลดลงทั้ง QoQ และ YoY อย่างไรก็ดี กำไรจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H64 จากยอดขายเพิ่มขึ้นหลังจากมีการฉีดวัคซีนได้มากขึ้นและมาตรการกระตุ้นการอุปโภคบริโภค อีกทั้งการรีไฟแนนซ์ช่วยประหยัดดอกเบี้ยจ่าย ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโลตัสจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เราแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 67 บาท (DCF, WACC 7.2%, G.4%)
ยอดขายจะเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำในปีก่อน
SSSG เดือน เม.ย. ฟื้นตัวจากฐานต่ำในปีก่อน แต่เดือน พ.ค. - มิ.ย. SSSG ลดลง ทำให้คาดว่า SSSG 2Q64 อยุ่ที่ 0% (เทียบกับ -20.2% ใน 2Q63 และ -17.1% ใน 1Q64) โดยได้รับผลกระทบจากการลดเวลาเปิดร้านเซเว่นฯ ตามมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งการ Work from home และปิดโรงเรียน เราคาดว่ามีการขยายสาขาใหม่ 170 สาขา หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 668 สาขา YoY ขณะที่ MAKRO คาดว่า SSSG 5-6% เราจึงประเมินว่ายอดขาย 2Q64 ของ CPALL เพิ่มขึ้น 7% YoY
คาดการณ์กำไร 2Q64 ลดลงจากค่าใช้จ่ายทางการเงิน
คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 12 bps YoY เป็น 21.4% เนื่องจากสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรต่ำเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าแพคใหญ่ และสัดส่วนยอดขายของ MAKRO เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายทางการเงินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 79% YoY เป็น 3,532 ล้านบาท จากการที่หนี้สินเพิ่มขึ้นจาก Bridging loan ที่ใช้ในการซื้อโลตัส อีกทั้งการรีไฟแนนซ์ Bridging loan ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายพิเศษใน 2Q64 ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโลตัสยังน้อยเนื่องจากยอดขายชะลอลง อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายการ Rebranding และการปรับระบบบริหาร เราคาดกำไร CPALL ลดลง 17% QoQ และ 27% YoY เป็น 2,117 ล้านบาท
แนวโน้มกำไร 2H64 ฟื้นตัวจาก 1H64
ผลประกอบการ 2H64 จะฟื้นตัวขึ้นจาก 1H64 หลังจากการฉีดวัคซีนได้มากขึ้น ประกอบกับมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มกำลังซื้อ การลดลงของลูกค้าเข้าร้านถูกชดเชยส่วนหนึ่งจากการขาย Delivery ของร้านเซเว่นฯ ซึ่งเพิ่มจาก 1% เป็น 10% ของยอดขาย นอกจากนั้น การรีไฟแนนซ์คาดว่าจะประหยัดดอกเบี้ยจ่ายเกือบ 300 ล้านบาท/ไตรมาส ตั้งแต่ 3Q64 เป็นต้นไป ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากโลตัสคาดว่าจะค่อยๆ เร่งตัวดีขึ้นเช่นกันเมื่อการระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย
ความเสี่ยง: การล็อกดาวน์ SSSG ฟื้นตัวช้ากว่าคาด นักท่องเที่ยวลดลง
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
Global Power Synergy (GPSC TB)
ลุยธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย
BUY
Share Price THB 78.75
12 m Price Target THB 102.00 (+30%)
Previous Price Target THB 100.00
GPSC คาดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 30% ภายในปี 2565
Global Renewable Synergy Company Limited (GRSC) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GPSC ถือหุ้นทั้งหมดได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 41.6 (1.48 หมื่นล้านบาท) ใน Avaada Energy Private Limited (กำลังผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ 3.7GW) ในอินเดียเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 กำลังการผลิตของ GPSC คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30% เป็น 6.6GW ภายในปี 2565 โดยกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจาก 12% เป็น 32% ของพอร์ตทั้งหมด (บรรลุเป้าหมายปี 2568 ที่ 30%) GPSC มองว่าเป็นการหนุนการเติบโตในอนาคต เนื่องจาก 1) ความต้องการไฟฟ้าของอินเดียเติบโต CAGR 5.3% ในช่วงปี 63-73 2) พลังงานแสงอาทิตย์ของอินเดียจะเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 31% ของทั้งหมดในปี 93 3) นโยบายรัฐบาลสนับสนุน 4) โอกาสสำหรับ ESS (Semi-solid แบตเตอรีของ GPSC) และการนำไฮโดรเจนมาใช้ในอินเดีย โดย GPSC จะใช้เงินสดในมือ 50% และเงินกู้ ปตท. 50% อัตราส่วน D/E สุทธิจะเพิ่มจาก 0.67 เท่าเป็น 0.8 เท่า (ภายในกรอบ 1 เท่า) ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนเพิ่มเติมสำหรับส่วนที่เหลือของโครงการ
สินทรัพย์แบบไดนามิก PPA ระยะยาวกับรัฐบาล
Avaada ดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย มีกำลังการผลิต 3.7GW (ดำเนินการแล้ว 1.4GW อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2.3GW คาด COD ระหว่างปี 2564-65) และตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 11GW ภายในปี 2568 Avaada ได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (25) ปี) กับรัฐบาลกลาง/รัฐของอินเดีย (88%) และ PPA เอกชน (5-10 ปี) กับลูกค้าเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม (12%) ตลอดโครงการ ต้นทุนการลงทุน 0.5 ล้านเหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม 1 เหรียญสหรัฐ/เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม FiT ต่ำที่ 1.5 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง (ครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ยของไทย) คิดเป็น IRR 10-12% อัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้า (capacity factor) สูงที่ 19% (รังสีดวงอาทิตย์สูง) โดยมี EBITDA ของโครงการ 80-90% ความเสี่ยงที่สำคัญคือ FiT อาจลดลงเนื่องจากภาคธุรกิจมีการแข่งขันสูงขึ้น GPSC ระบุว่าความเสี่ยงของผู้รับความเสี่ยงสามารถจัดการได้เนื่องจากระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 50 วัน
สินทรัพย์จะเพิ่มฐานรายได้ 10-12% ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป
รายได้จาก Avaada จะรับรู้ภายใต้รายได้ของหุ้นในครึ่งปีหลัง เราประเมินว่าสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท (2.5%) ในปี 64 และเพิ่มเป็น 700 ล้านบาท (7%) ในปี 65 และ 1 พันล้านบาท (10%) เมื่อกำลังการผลิตออนไลน์ เราคงประมาณการกำไรปี 64 ไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคาก๊าซที่สูงขึ้น แต่เราเพิ่มประมาณการปี 65/66 ตามที่กล่าวข้างต้น โดยราคาก๊าซไป 64 อยู่ที่ 245 บาท/mmbtu เทียบกับ 235 บาท/mmbtu ราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 10 บาท/mmbtu จะทำให้กำไรลดลง 300 ล้านบาท
คงคำแนะนำ ซื้อ คลายกังวลเรื่องการเติบโตของปริมาณ
ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดความกังวลเรื่องการเติบโตของกำลังการผลิต และเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า GPSC มุ่งมั่นที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานด้านพลังงานหมุนเวียนที่เป็นขาขึ้นของเรา ซึ่งรวมอยู่ในการประเมินมูลค่าของเราแล้ว ซึ่ง GPSC จะเน้น ESS มากขึ้น เราเพิ่ม WACC 0.6% เป็น 8.3% เพื่อสะท้อนต้นทุนโครงการ Avaada ที่สูงขึ้น (หนี้สิน:11.2% ส่วนของผู้ถือหุ้น: 15%) และความเสี่ยงจากการกระจุกตัว (อินเดียคือ 30% ของพอร์ต) เพิ่มการเติบโตในระยะยาวเป็น 2.5% จาก 2% เนื่องจาก Avaada สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวได้ เราเพิ่ม TP จาก 100 บาทเป็น 102 บาท
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
TPI Polene Power PCL (TPIPP)
คาด 2Q64 กำไรจะดีขึ้น
BUY
Share Price THB 4.36
12 m Price Target THB 5.00 (+15%)
Previous Price Target THB 5.00
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 2Q64 จะดีขึ้น 1,200 ล้านบาท (+13%QoQ, +2%YoY) จากขายไฟที่เพิ่มขึ้น แนวโน้มช่วงที่เหลือของปีผลประกอบการจะดีขึ้น แรงหนุนเพิ่มจากขายRDFให้TPIPL TPIPP ประมูลโรงไฟฟ้าขยะ 2 แห่ง คือ ที่ สงขลา 8MW และ นครราชสีมา 9.9MW เตรียมลงนามใน 3Q64 และ โรงไฟฟ้า TG7 40MW กำลังยื่นขายไฟให้ กฟผ. รวมจะช่วยเพิ่ม EBITDA 1,200 ล้านบาท ชดเชยโรงไฟฟ้า TG3 18MW และ TG5 55MW ที่ทยอยหมด adder ในปี 2565 หุ้น P/E ต่ำ 7.7 เท่า และ ปันผลตอบแทนดี 6.5% คงแนะนำ ซื้อ ลงทุน ราคาเป้าหมาย ด้วยวิธี DCF (WACC = 8.4%) ได้เท่ากับ 5 บาท
คาดกำไร 2Q64 จะดีขึ้น 1,200 ล้านบาท (+13%QoQ, +2%YoY)
ไตรมาส 2Q64 จะมีปริมาณขายไฟมากขึ้น 602 ล้านหน่วย (+19%QoQ, +10%YoY) หลัง TG8 ซ่อมบำรุงเสร็จทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ โรงไฟฟ้า TG3, TG5, TG4+6 ซึ่งขายไฟให้ กฟผ. ใช้กำลังการผลิตขึ้นมาเกือบ 100% จาก 99% ทำให้ยอดขายรวมรายการอื่นคาดจะเพิ่มเป็น 3,010 ล้านบาท (+14%QoQ, +8%YoY) อัตรากำไรขั้นต้นคาด 47.2% ลดลงจากไตรมาสก่อน 48.5% จากสัดส่วนขายไฟให้ TPIPL มากขึ้น แต่ดีขึ้นจากปีก่อน 44.6% จากประสิทธิภาพที่ดีขึ้น รวมแล้วคาดจะมีกำไรสุทธิที่ดีขึ้นประมาณ 1,200 ล้านบาท (+13%QoQ, +2%YoY)
โรงไฟฟ้าขยะสงขลาและโคราชเตรียมลงนาม และ TG7คาดได้อนุมัติ3Q64
ใน1Q64 TPIPP ชนะประมูลโรงไฟฟ้าขยะ 2 แห่ง คือ ที่ สงขลา และ เทศบาลเมือง นครราชสีมา มีกำลังการผลิต 8MW และ 9.9MW ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม EBITDA 300 และ 400 ล้านบาท ตามลำดับ จะเริ่ม COD ปี 2566 ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนอัยการสูงสุดตรวจสอบสัญญา คาดจะลงนามใน3Q21 นอกจากนี้โรงไฟฟ้า TG7 ได้เปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงขยะ และ ได้ยื่นขายไฟให้ กฟผ. 40MW ที่ราคา 3.66 บาท จะช่วยเพิ่ม EBITDA 500 ล้านบาท คาดจะได้อนุมัติจากมหาดไทยใน 3Q64 นี้ และจะเริ่มขายไฟได้ในปี 2565 ดังนั้น 3 โครงการใหม่นี้ จะช่วยเพิ่ม EBITDA 1,200 ล้านบาท ช่วยลดผลกระทบที่ TG3 55MW จะหมด adder ในเดือน ม.ค. 2565 และ TG5 18MW ในเดือน ส.ค. 2565 ซึ่งจะทำให้ EBITDA ลดลง 800-900 ล้านบาท ในปี 2565 และ ลดลงต่อในปี 2566 เท่ากับ 1,000 ล้านบาท ซึ่ง 3 โครงการใหม่นี้เรายังไม่รวมในประมาณการ
ช่วงที่เหลือของปีผลประกอบการจะดีขึ้นต่อเนื่อง
ครึ่งปีหลังจะได้แรงหนุนเพิ่มจากการขาย RDF เพื่อทดแทนถ่านหิน 30% ซึ่งปลายไตรมาส 2Q64 เริ่มทดลองผลิตและขาย RDF ให้ TPIPL แต่ยังไม่รับรู้รายได้ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ใน 3Q64 จะช่วยเพิ่มรายได้ 350-450 ล้านบาทต่อปี ช่วยหนุนผลประกอบการ เราคงประมาณการคาดปี 2564 ยอดขาย 12,364 ล้านบาท โต 10% และ มีกำไรสุทธิ 4,735 ล้านบาท โต 6.5%
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ