- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 07 July 2021 22:19
- Hits: 18678
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 7-7-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 7 กรกฎาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
ย่อตัว :
ปัจจัยกดดันทั้งในและนอก
วันนี้คาด SET ย่อตัว ในกรอบแนวรับ 1,580 จุด และแนวต้าน 1,600 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “TU, EPG”
TU
คาดกำไร 2Q64 จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ได้ผลบวกจากเงินบาทอ่อนค่า และเข้าสู่ไฮซีซั่น โดดยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัวแข็งแกร่ง จากสหรัฐฯ มีการเปิดเมืองมากขึ้น ส่วนราคาปลาทูน่าเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปซึ่งยังคงบริหารจัดการต้นทุนได้ดี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 22 บาท
EPG
คาดกำไร 1Q64/65 (เม.ย.-มิ.ย. 2564) จะเติบโตดีขึ้นสู่ 415 ล้านบาท (+3%QoQ, +449%YoY) แรงหนุนจากธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) และ ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) รวมถึงการทยอยปรับราคาหนุน Margin ดีขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 13.5 บาท
INVESTMENT THEME
ปัจจัยกดดันทั้งในและนอก
ตัวเลขภาคบริการของสหรัฐฯต่ำคาด : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขภาคบริการ เดือนมิถุนายน นำโดย ดัชนี Service PMI ลดลงสู่ระดับ 64.6 จุด จาก 64.8 จุด ต่ำคาดที่ 64.8 จุด เช่นเดียวกับดัชนี ISM Service Index ที่ลดลงสู่ระดับ 60.1 จุด จาก 64 จุด และต่ำคาดที่ 63.5 จุด การชะลอตัวของภาคบริการเป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ย่อตัวลง
ครม.เห็นชอบจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม : การประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติม ได้แก่ วัคซีนไฟเซอร์ 20 ล้านโดส , ซิโนแวค 10.9 ล้านโดส ส่วนวัคซีนโมเดอร์นา ซึ่งเป็นวัคซีนทางเลือก ที่ประชาชนจะต้องชำระเงินกับภาคเอกชน กระทรวงสาธารณสุข ให้องค์การเภสัชกรรมเป็นตัวกลางจัดหา และเป็นผู้ลงนามในสัญญา จำนวนประมาณ 5-9 ล้านโดส คาดนำเข้าในช่วง 4Q64 อาจช่วยผ่อนคลายระยะสั้นได้บ้าง แต่อย่างไรก็ดีจากการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างช้า และการระบาดในสายพันธุ์ใหม่ที่รุนแรงขึ้น รวมถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงเดินหน้าต่อเนื่องเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง
คาด SET วันนี้ย่อตัว : แรงกดดันทั้งในและต่างประเทศคาดส่งผลให้ SET อยู่ในช่วงของการย่อสร้างฐาน โดยคืนนี้แนะติดตามการรายงานผลประชุม FED ในรอบที่ผ่านมา (FED Minutes) คาดว่าจะเห็นแนวโน้มประธาน FED หลายท่านส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น เพิ่มแรงกดดันในระยะสั้น
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งขึ้นขานรับราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นเด่นหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น โดย SET ปิดที่ 1,591.43 (+12.15) มูลค่าการซื้อขาย 6.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.8 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 54 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 502 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 17,197 สัญญา)
EYES ON
7 ก.ค. รายงานการประชุม FED รอบที่ผ่านมา
8 ก.ค. ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ของ US, สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของ US
9 ก.ค. ดัชนี CPI ของจีน
Central Pattana (CPN)
ขยายพอร์ตผ่านการลงทุนใน SF
BUY
Share Price THB 53.00
12 m Price Target THB 60.00 (+13%)
Previous Price Target THB 60.00
คำชี้แจงที่สำคัญ: บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อาจมีธุรกรรมกับ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)
ประเด็นการลงทุน
การลงทุนใน SF เป็นการขยายพอร์ตโครงการและขยายฐานลูกค้าของ CPN อีกทั้งมีโอกาสเติบโตจากการพัฒนาโครงการใหม่ๆ บนที่ดินของ SF ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ ประกอบกับได้เป็นพันธมิตรกับอีเกีย ขณะที่ฐานะการเงินของ CPN ยังคงแข็งแกร่ง และมีความยืดหยุ่นในการลงทุนในโครงการอื่นๆได้ต่อเนื่อง เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 60 บาท
ซื้อหุ้น SF จาก MAJOR และทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์
ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ CPN เข้าซื้อหุ้น SF จาก MAJOR จำนวน 647.16 ล้านหุ้น หรือ 30.36% ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท รวมเป็น 7,766 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเสร็จภายใน 30 ส.ค. 2564 และหลังจากนั้น CPN จะทำ Tender Offer หุ้นที่เหลือทั้งหมดของ SF ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท โดยบริษัทอยู่ระหว่างหาข้อสรุปว่าจะเพิกถอน SF ออกจากตลาดฯ หรือไม่ ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนรวม 25,583 ล้านบาทจะนำมาจากการกู้ยืม
ขยายพอร์ตโครงการและขยายฐานลูกค้า
การลงทุนใน SF ซึ่งมี 18 โครงการ จะทำให้ CPN มีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้น 24% หรือ 430,628 ตารางเมตร เป็นการขยายพอร์ตของ CPN ไปสู่โครงการ Community mall ทำให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ รวมทั้งเพิ่มโครงการ Super Regional Mall คือ เมกาบางนา ซึ่งเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จมากและยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งมีโอกาสพัฒนาโครงการใหม่ทั้งในพื้นที่ CBD และบนที่ดินรอการพัฒนาของ SF ได้แก่ บางนา บางใหญ่ และรังสิต ซึ่งมีพื้นที่รวมมากกว่า 300 ไร่ โดยอาจพัฒนาเป็นโครงการ Mixed use ในระยะยาว นอกจากนั้น ความสามารถในการทำกำไรของ SF คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการที่ CPN เข้าไปปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นในการลงทุน
การรวมงบการเงินของ SF (ภายใต้มาตรฐานบัญชีแบบเดียวกับ CPN) คาดว่าอยู่ในช่วง 4Q64 ซึ่งจะเพิ่มกำไรให้กับ CPN ประมาณ 600 ล้านบาท/ปี หรือ 5% ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายจะเพิ่มขึ้นสุทธิ 500 ล้านบาท/ปี จากสมมติฐานการกู้ยืมเงินทั้งจำนวนมาลงทุน อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนคาดว่าจะเพิ่มจาก 0.4 เท่า เป็น 0.8 เท่า และ CPN ยังมีโอกาสในการลดหนี้จากการขายสินทรัพย์เข้า CPNREIT ในอนาคต ขณะที่แผนลงทุนอื่นๆ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อบริหารจัดการเงินลงทุนให้เหมาะสมได้
ความเสี่ยง: การล็อกดาวน์ ปรับค่าเช่าได้น้อยกว่าคาด เลื่อนเปิดโครงการ การชุมนุม
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
UNIQ (UNIQ)
ได้งานใหม่มากขึ้น ทำให้แนวโน้มดีขึ้น
HOLD
Share Price THB 7.75
12 m Price Target THB 7.80 (+1%)
Previous Price Target THB 7.80
ประเด็นการลงทุน
UNIQ ลงนามงานโครงการรถไฟไทย-จีน สัญญา 4-2 มูลค่า 10,570 ล้านบาท ปีนี้ ประมูลงานใหม่ได้มากขึ้น เมื่อรวม รถไฟไทย-จีน สัญญา 4-6 มูลค่า 9,428 ล้านบาท และ รถไฟทางคู่ บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 2 มูลค่า 28,333 ล้านบาท จะมี Backlog เพิ่มเป็นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จากสิ้นปี 2563 ที่มี Backlog เพียง 1.2 หมื่นล้านบาท ทำให้แนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้น แต่คาดปีนี้ยังไม่เด่น เราประเมินราคาเป้าหมายให้เท่ากับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นได้เท่ากับ 7.8 บาท (เราปรับเพิ่มเป้าหมายจาก 5.5 บาท เป็น 7.8 บาท ในบทวิเคราะห์กลุ่มรับเหมาเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2564) ราคาหุ้นปัจจุบันใกล้ราคาเป้าหมาย เราคงแนะนำ ถือ
ลงนามงานโครงการรถไฟไทยจีน สัญญา 4-2 มูลค่า 10,570 ล้านบาท
UNIQ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 64 บริษัทได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้าง ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพมหานคร-นครราชสีมา งานสัญญาที่ 4-2 งานโยธา สำหรับช่วงดอนเมือง-นวนคร กับการรถไฟแห่งประเทศไทย มูลค่าโครงการ 10,570 ล้านบาท ต่ำกว่าราคากลาง 10,917 ล้านบาท เล็กน้อย หลังจาก กิจการร่วมค้า SPTK (บ. ซิโนไฮโดร / บ. สหการวิศวกร และ บ. ทิพากร) เป็นผู้ชนะการประกวดราคา 8,626 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าราคากลางถึง 20.9% แต่ไม่ยอมยืนยันราคา
งานในมือเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
UNIQ เหลือ Backlog ณ สิ้นปี 2563 เท่ากับ 12,477 ล้านบาท ปัจจุบันเริ่มประมูลงานได้มากขึ้น คือ 29 มี.ค. 2564 ลงนามรถไฟไทย-จีน สัญญา 4-6 งานโยธาสำหรับช่วง พระแก้ว-สระบุรี 9,428 ล้านบาท (ต่ำกว่าราคากลาง 15.6%) และ วันที่ 25 พ.ค. 2564 เสนอราคาต่ำสุด รถไฟทางคู่ บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม สัญญา 2 มูลค่า 28,333 ล้านบาท (ใกล้ราคากลาง) ดังนั้น Backlog ปัจจุบันจะเพิ่มเป็นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ผลประกอบการ 1Q64 น่าผิดหวัง แนวโน้มปีนี้ไม่เด่น
ผลประกอบการ 1Q64 ที่ผ่านมาน่าผิดหวังมีกำไรเพียง 6 ล้านบาท (-18%QoQ,-96%YoY) เนื่องจากงานในมือเก่ามีการแข่งขันรุนแรงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับต่ำ สองงานใหม่ที่ประมูลได้มา คือ รถไฟทางคู่ บ้านไผ่-นครพนม สัญญา 2 มูลค่า 28,333 ล้านบาท และ รถไฟไทย-จีน สัญญา 4-2 มูลค่า 10,570 ล้านบาท ซึ่งประมูลใกล้ราคากลาง คิดเป็นเกือบ 50% ของ Backlog จะทำให้กำไรในช่วงที่เหลือของปีดีขึ้น อย่างไรก็ตามคาดฐานกำไรจะยังต่ำ 218 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1% จากปีก่อน
ความเสี่ยง : ความล่าช้าของโครงการ / ราคาวัสดุก่อสร้าง / ปัญหาแรงงานก่อสร้าง
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ