- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 27 May 2021 23:50
- Hits: 2621
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 27-5-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 27 พฤษภาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
ผันผวน :
ระวังการปรับพอร์ต MSCI
วันนี้คาด SET ผันผวน ในกรอบแนวรับ 1,550 จุด และแนวต้าน 1,580 จุดเน้นหุ้นขนาดกลางที่แนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picksวันนี้แนะ “BCH, CHAYO”
BCH
คาดแนวโน้มกำไร 2Q64 จะขยายตัวเด่นทั้ง QoQ และ YoY แรงหนุนเชิงบวกจากการรับรู้รายได้การตรวจวัคซีนในช่วง 2Q64 ที่คาดเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จำนวนเคสตรวจเดือนเมษายน มากกว่าเคสทั้งหมดในช่วง 1Q64) ผสานกับรายได้เพิ่มเติมจาก Hospitel
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 21 บาท
CHAYO
คาดเห็นความชัดเจนของ Chayo JV และผู้ร่วมลงทุนในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งทำให้มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มอีกกว่า 1,800 ลบ. (เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบัน) ผสานกับมีทรัพย์ NPA ก้อนใหญ่ที่อยู่ระหว่างเจรจาและคาดปิดดีลได้ใน 3Q64 จะทำให้กำไรเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้ง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 17 บาท
INVESTMENT THEME
ระวังการปรับพอร์ต MSCI
ผันผวนจากการปรับพอร์ต MSCI : คาดตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งผันผวน โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ กองทุน Passive Fund ทั่วโลกจะมีการปรับพอร์ตหุ้นไทย ซึ่งจะมีผลในหุ้นที่ถูกปรับเข้า-ออก, เพิ่มและลดน้ำหนัก ในดัชนี MSCI โดยจากการประเมินคาดรอบนี้ตลาดหุ้นไทยจะโดนลดน้ำหนักการลงทุน กดดันให้กระแสเงินทุนมีโอกาสไหลออกราว 1.0-1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดจะส่งผลให้ตลาดหุ้นในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายของการเทรดแกว่งผันผวน รวมถึงปริมาณการซื้อขายวันนี้คาดจะอยู่ในปริมาณที่สูง จึงแนะเพิ่มความระมัดระวังในการเก็งกำไรระหว่างวัน ส่วนนักลงทุนระยะกลาง แนะรอตั้งรับหุ้นที่ถูกปรับลดน้ำหนักแต่แนวโน้มธุรกิจยังเติบโตดี
รัฐฯเคาะกู้เงินเพิ่ม 5 แสนล้านบาท : เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยจะมีเม็ดเงินกู้เพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท แบ่งเป็น 1) งบสาธารณสุข 3 หมื่นล้านบาท 2) งบเยียวยา 3 แสนล้านบาท 3) งบฟื้นฟู 1.7 แสนล้านบาท โดยแม้ว่าวงเงินดังกล่าวจะน้อยกว่าที่ตลาดเคยคาดหวังไว้ที่ 7 แสนล้านบาท แต่ก็คาดจะช่วยกระตุ้น GDP ไทยให้เพิ่มขึ้นได้อีกราว +1.5% ซึ่งถือว่าเป็นภาพบวกทั้งต่อการรองรับการแก้ปัญหา COVID-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในช่วงถัดไป
MARKET SUMMARY
วันอังคารที่ผ่านมา SET แกว่งขึ้น สอดคล้องกับราคาพลังงานที่ขยับขึ้นและการออก พรก.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท โดย SET ปิดที่ 1,568.58 (+16.73) มูลค่าการซื้อขาย 8.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.9 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1,213 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,776 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 19,990 สัญญา)
EYES ON
27 พ.ค. MSCI Rebalancing, 1Q64 US GDP, Core PCE US, ยอดขายสินค้าคงทน US, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
28 พ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยูโรโซน
- Karnchang (CK)
New S-Curve เริ่มมีสัญญาณชัดเจนขึ้น
T-BUY
Share Price THB 19.00
12 m Price Target THB 22.00 (+16%)
Previous Price Target THB 22.00
ประเด็นการลงทุน
CK เริ่มประมูลได้งานใหม่เข้ามาเติม Backlog จาก 2.6 หมื่นล้านบาท เป็น 6 หมื่นล้านบาท ปีนี้ผู้บริหารประเมิน Backlog จะขึ้นมาเป็น 1 แสนล้านบาท และ เพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาท ในปีหน้า เข้าสู่ New S-Curve ของ Backlog แนวโน้มผลประกอบการปี 2564 จะดีขึ้น CK มีเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของประเทศ คือ BEM, CKP และ TTW มีมูลค่าถึง 5.9 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 35 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีแนวโน้มเติมโตในระยะยาว และ ช่วยเพิ่มงานให้ CK รวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งกำไร และเงินปันผล ประเมินเป้าหมาย โดยวิธี Sum of the Part เท่ากับ 22 บาท คงแนะนำ TRADING BUY
เริ่มได้งานใหม่ New S-Curve ของ Backlog มีสัญญาณชัดเจนมากขึ้น
CK ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันอังคาร (25 พ.ค.) ที่ผ่านมา ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกงานประมูลในอนาคตจะหนุน Backlog ของ CK เข้าสู่ New S-Curve CK เริ่มประมูลได้โครงการใหม่ๆเข้ามาเติม Backlog ณ สิ้นไตรมาสแรก 2.6 หมื่นล้านบาท ล่าสุด ได้งานก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำของ กปน. 4.95 พันล้านบาท และ ประมูลราคาต่ำสุดรถไฟทางคู่ เด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ 2 สัญญา รวม 4.7 หมื่นล้านบาท (ส่วน CKประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) ผู้บริหารคาดปีนี้จะมี Backlog ขึ้นมา 1 แสนล้านบาท หลายโครงการที่ CK มีศักยภาพจะได้งานเพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.27 แสนล้านบาท สายสีม่วงใต้ 1 แสนล้านบาท โรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 8.5 หมื่นล้านบาท จะทำให้ Backlog เข้าสู่ New S-Curve คือ ประมาณ 2.9 แสนล้านบาทในปี 2565
แนวโน้มช่วงที่เหลือของปีจะฟื้นตัวมีกำไรดีขึ้น
แนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี คือ ไตรมาส สอง-สาม-สี่ คาดจะฟื้นตัวมีกำไรที่ดีขึ้น ซึ่งไตรมาสสองและสามจะได้แรงหนุนจากปันผลของ TTW ไตรมาสละประมาณ 232 ล้านบาท ส่วนไตรมาสสี่จะรับรู้จากงานประมูลใหม่ ทำให้ยอดรับรู้รายได้ปี 2564 กลับมาใกล้ปี 2563 นอกจากนี้จะได้แรงหนุนเพิ่มจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP ที่คาดจะดีขึ้นจากปี 2563 เราคงประมาณการคาดรายได้จากธุรกิจก่อสร้างจะลงเหลือ 15,000 ล้านบาท ลดลง 10%YoY แต่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP จะดีขึ้น ทำให้มีกำไรดีขึ้น 888 ล้านบาท เติบโต 45%YoY
ราคาเหล็กที่ปรับขึ้นสามารถบริหารจัดการได้
ประเด็นเหล็กขึ้นราคา ผู้บริหารประเมินสามารถบริหารจัดการได้ ไม่ส่งผลกระทบมากนัก โดยโครงการใน Backlog ได้ผ่านช่วงการใช้เหล็กแล้ว สำหรับ โครงการใหม่ที่ประมูลได้เป็นราคาที่สะท้อนการปรับขึ้นของราคาเหล็กแล้ว นอกจากนี้ โครงการขนาดใหญ่มีระยะเวลาก่อสร้างหลายปี จึงบริหารจัดการได้ดี และ ยังมีประเด็นค่า K ถ้าเปลี่ยนแปลงเกิน 4% จะได้เงินชดเชย ปัญหาแคมป์คนงานหลายแห่งที่ติด Covid-19 คนงานของ CK อยู่ค่อนข้างกระจาย จึงไม่มีผลกระทบ
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
PTT Public (PTT TB)
Gas BU ไม่ทำให้ผิดหวัง
BUY
Share Price THB 38.75
12 m Price Target THB 53.00 (+37%)
Previous Price Target THB 50.00
ผลประกอบการไตรมาส 1/64 แข็งแกร่งในทุกกลุ่มธุรกิจ
NPAT ไตรมาส 1Q64 อยู่ที่ 3.26 หมื่นล้านบาท (+147% QoQ) พลิกเป็นบวก YoY สูงกว่าประมาณการของเรา 25% และตลาดคาด 16% โดย EBITDA เพิ่มขึ้น (43.8% QoQ, 218% YoY) เป็น 1.03 แสนล้านบาท เนื่องจากทุกกลุ่มมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้น (E&P 24% ก๊าซ 34% ถ่านหิน 36.5% เทรดดิ้ง > 100% ปิโตรเคมีและการกลั่น 79% QoQ) ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นเป็นปัจจัยขับเคลื่อนรายได้หลักในกลุ่ม โดยเพิ่ม 1.5 หมื่นล้านบาทจากกำไรจากการดำเนินงานจากไตรมาสก่อนหน้า (กำไรจากสต๊อก 1.2 หมื่นล้านบาทและอัตรากำไรธุรกิจเคมีที่ดีขึ้น) PTT รายงานผลขาดทุนจากอนุพันธ์ 7.4 พันล้านบาทและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 4.3 พันล้านบาท
Core Gas BU แรงเกินคาด
กำไรหลักธุรกิจ Gas BU EBITDA เพิ่มขึ้น 34% QoQ 51% YoY เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการของเราที่ 1.8 หมื่นล้านบาท สายธุรกิจก๊าซทั้งหมดกำไรดีขึ้น นำโดย GSP และ S&M โดย EBITDA GSP เพิ่มขึ้น 109% QoQ 245% YoY เป็น 6.2 พันล้านบาทจากอัตรากำไรที่สูงขึ้น (ASP เพิ่มขึ้นจากราคา HDPE โพรเพนและ LPG) และปริมาณเพิ่มขึ้น 4% QoQ เนื่องจากอุปสงค์ปิโตรเคมียังคงแข็งแกร่ง อัตราการใช้กำลังผลิตเพิ่มขึ้น 6.2% แตะ 94.7% จากการปิดซ่อมบำรุงน้อยลง S&M EBITDA เพิ่มขึ้น 71% QoQ และ 148% YoY เป็น 4.8 พันล้านบาทจากปริมาณที่เพิ่มขึ้น 7.7% QoQ และอัตรากำไรที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้าอุตสาหกรรม (ASP เชื่อมโยงกับน้ำมันเตา +30% QoQ) ปริมาณที่เพิ่มขึ้นได้รับแรงหนุนจากความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 12% (ปริมาณการจ่ายไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้าก๊าซเนื่องจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศมีการหยุดซ่อมบำรุงนอกแผน) ธุรกิจ T&M ทรงตัว โดยมี EBITDA 8 พันล้านบาท (ไตรมาส 4/63 มียอดขาย) ในขณะที่ NGV ขาดทุนเล็กน้อยจากปริมาณที่ลดลง 6% ราคาก๊าซพูลเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3% QoQ เป็น 5.86 เหรียญสหรัฐ /mmbtu จากต้นทุน LNG ที่สูงขึ้น ราคาก๊าซ 2Q64 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5-10% QoQ
กลยุทธ์ - ลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่มีการเติบโตสูง
ผู้บริหารได้จัดงานแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับธุรกิจวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ซึ่งครอบคลุมยา โภชนาการและอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายใต้บริษัท Innobic (Asia) ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น คาดตลาดเวชภัณฑ์ทั่วโลกมีมูลค่าสูงกว่า 1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2566 โดยคาดว่าเอเชียจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ ผู้บริหารเผยเป็นนัยว่า O&G เป็นธุรกิจดั้งเดิม ในขณะที่วิทยาศาสตร์ชีวภาพ, Mobility, โลจิสติกส์และ Advanced Materials เป็นพื้นที่ใหม่ที่มีการเติบโตสูง (S-curve) โดยในวันที่ 19 เม.ย. Innobic (Asia) ได้ลงทุน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (6.6%) ใน Lotus Pharmaceuticals (ไต้หวัน) บริษัทผู้ผลิตยาชื่อสามัญสิทธิบัตรที่ขายไปยังเอเชียและส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยกลยุทธ์ของ PTT คือร่วมเป็นพันธมิตรกับพันธมิตรที่มีความรู้และมีประวัติfu ในขณะเดียวกันก็เป็นแพลตฟอร์มการเติบโต โฟกัสระยะใกล้คือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศ บริษัทไม่มีงบประมาณตายตัว แต่มุ่งที่จะลงทุนในโครงการดี ๆ
คงแนะนำ ซื้อ เพิ่ม TP สะท้อนบริษัทย่อย
เรายังคงแนะนำ ซื้อ และเพิ่ม TP เป็น 53 บาท (SOTP) เพื่อสะท้อน TP ที่สูงขึ้นของบริษัทย่อย ทั้งนี้ ราคาหุ้น PTT ยังคง Laggard เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปิดเสรีก๊าซ คาดว่ารัฐบาลจะสรุปรูปแบบ (การนำเข้า LNG สำหรับผู้เล่นที่เหลือ) ภายในไตรมาส 2/64 ซึ่งคงต้องรอดูต่อไป อย่างไรก็ตาม ณ ราคาปัจจุบัน ถือว่ากำลังน่าสนใจ และ TP ของเรามีอัพไซด์ 37%
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
TOA Paint (Thailand) (TOA)
แนวโน้มปี 2564 จะเติบโต
BUY
Share Price THB 36.75
12 m Price Target THB 40.00 (+9%)
Previous Price Target THB 38.00
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการปี 2564 จะเติบโต ปรับประมาณการขึ้น คาดกำไร 2,322 ล้านบาท เติบโต 14% แรงหนุนยอดขายที่เติบโต ขยายสินค้าที่ไม่ใช่สีทาอาคาร เพิ่มสินค้า พรีเมี่ยม การทยอยปรับราคาครอบคลุมสินค้า 80% จะทำให้มาร์จิ้นไม่ลดลงมากนัก แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันจะปรับขึ้น การเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “MEGA PAINT Warehouse” จะช่วยเสริมยอดขาย เราคงแนะนำ ซื้อลงทุน ประเมินราคาเป้าหมาย 40 บาท บนฐาน Forward P/E เฉลี่ยประมาณ 35 เท่า เพิ่มจาก 38 บาท จากประมาณการที่ปรับเพิ่มขึ้น
คงเป้าเติบโต10% เริ่มทยอยปรับราคาขึ้น
TOA ได้จัดประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ผู้บริหารคงเป้าหมายยอดขายโต 10% แบ่งเป็น ในประเทศโต 5% ต่างประเทศโต 20% โดยการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่อาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายบ้าง ต้นทุนวัตถุดิบที่เกี่ยวกับน้ำมัน เช่น TiO2 ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง TOA ได้ทยอยปรับราคาขายขึ้น 5-10% ในเดือน มี.ค.ประมาณ 15% ของพอร์ต และ ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. ราคาที่ปรับขึ้นจะเป็น 80% ของพอร์ต ทำให้ EBITDA margin ปีนี้จะลดลงเล็กน้อย การเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “MEGA PAINT Warehouse” ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและบริการจากทีโอเอครบวงจร แบบ One stop service ไตรมาสสามมีแผนจะเปิดเพิ่มเป็น 4 สาขา จากปัจจุบัน 1สาขา และ ในไตรมาสสี่ จะเปิดเพิ่มเป็นมากกว่า 10 สาขา เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต
แนวโน้ม2Q64จะชะลอตัว แต่ยังเติบโตจากปีก่อน
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64 ปกติในประเทศไทยจะเป็นช่วงโลซีซั่นมีวันหยุดเทศกาลหลายวัน จะชะลอตัวจากไตรมาสแรก ในขณะที่ตลาดหลักที่เวียดนาม (สัดส่วน 6%-8%) มีการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ มีการคุมเข็มมากขึ้น สำหรับการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ในไทยกระทบต่อการก่อสร้างไม่มากนัก ปีนี้ Modern Trade ไม่ได้ปิดสาขาเหมือนปีก่อน รวมแล้วกำไรปกติจะชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีกำไรปกติ 615 ล้านบาท แต่จะเติบโตจากปีก่อนที่มีกำไรปกติ 524 ล้านบาท
ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่เราปรับประมาณการยอดขายลง คาดจะโต 8% จากเดิมจะโต 10% แต่การทยอยปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ไม่ลดลงมากนักเราคาด 36.3% จากเดิมคาดจะลดลงเหลือ 35.6% เทียบกับปีก่อน 36.9% และ มี EBITDA margin 19.4% ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย 19.6% ทำให้เราปรับประมาณการกำไรเพิ่ม 6% สู่ระดับ 2,322 ล้านบาท เติบโต 14% ประมาณการของเรายังอนุรักษ์นิยมเพราะกำไรไตรมาสแรกคิดเป็น 29% ของคาดทั้งปี
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web