WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 20-5-2021May

AT THE OPEN (#ATO)

S T R A T E G Y   R E P O R T / 20 พฤษภาคม 2564

INVESTMENT STRATEGY

Sideways :

ตลาดกังวลโอกาสลด QE

วันนี้คาด SET แกว่งในกรอบแนวรับ 1,550 จุด และแนวต้าน 1,570 จุด เน้นหุ้นพื้นฐานดีกำไรเติบโต โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “JMART, HMPRO”

JMART

คาดกำไรปี 2564 ที่ 1,217 ลบ. +50%YoY จาก i) JMT รักษาระดับการเก็บเงินสดจากกองหนี้เก่า-ใหม่ โดยจะเร่งตัดต้นทุนก่อนก้าวกระโดดใน 2H64 ii) SINGER ที่เข้าสู่ไฮซีซันของการขายและพอร์ตสินเชื่อ C4C ที่โตทุกไตรมาส iii) การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อของ KBJ

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 44.50 บาท

HMPRO

คาดกำไรสุทธิ 2Q64 จะเติบโต YoY ได้เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน จากฐานต่ำในปีก่อนซึ่ง SSSG ติดลบ 17% จากการล็อกดาวน์ทำให้ต้องปิดสาขาส่วนหนึ่ง อีกทั้งคาดอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและเน้นสินค้าอัตรากำไรสูง

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 16 บาท

INVESTMENT THEME

ตลาดกังวลโอกาสลด QE

Cryptocurrency ย่อแรงฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกย่อตัว : วานนี้การเคลื่อนไหวของ Cryptocurrency มีการปรับตัวลงค่อนข้างรุนแรง จากการที่รัฐบาลจีนประกาศห้ามไม่ให้สถาบันการเงินและบริษัทด้านการชำระเงินให้บริการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมสกุลเงินคริปโต และเตือนไม่ให้นักลงทุนทำการซื้อขายสกุลเงินคริปโตเพื่อเก็งกำไร เพื่อลดความร้อนแรงของตลาดคริปโต ส่งผลให้มีแรงขายออกมาในทุกสกุลเงินคริปโตค่อนข้างมาก โดยปรับลงราว 20-30% ภายในวันเดียว ซึ่งการปรับฐานแรงนี้ ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างมากเช่นกัน โดยพบแรงขายหนักในหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (Tech Stock) ซึ่งอาจเพิ่มความกังวลมากขึ้นต่อหุ้นกลุ่ม Tech ในตลาดเอเชียเช้านี้

FED อาจหารือประเด็น QE รอบหน้า : จากรายงานการประชุม FED ในรอบที่ผ่านมา (27-28 เมษายน) พบว่าสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ซึ่งทำให้คณะกรรมการ FED มีโอกาสที่จะหารือในประเด็นการปรับลด QE ในการประชุมครั้งหน้า (15-16 มิถุนายน) โดยจุดสำคัญที่จะกำหนดการตัดสินใจคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง ยังคงเน้นการจ้างงานอย่างเต็มที่ และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นสู่เป้าหมายของ FED ที่ 2% ดังนั้นช่วงเวลานี้จนถึงการประชุมครั้งหน้าคงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ส่วนด้านตลาดหุ้นในระยะสั้นแนะควรเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET แกว่ง Sideways มีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อที่เร่งขึ้น แต่ยังมีแรงพยุงจากความคาดหวังในประเทศ โดย SET ปิดที่ 1,562.24 (-4.56) มูลค่าการซื้อขาย 8.4 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.8 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 2,395 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,601 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 9,609 สัญญา)

EYES ON

20 พ.ค. ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US

21 พ.ค. ยอดการส่งออกไทย, PMI ภาคการผลิตและบริการของ US และยูโรโซน, ยอดขายบ้านมือสอง US

Central Pattana (CPN)

ฟื้นตัวช้ากว่าคาด

BUY

Share Price               THB 49.50

12 m Price Target     THB 60.00 (+21%)

Previous Price Target THB 64.00

คำชี้แจงที่สำคัญ: บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อาจมีธุรกรรมกับ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)

ประเด็นการลงทุน

จากผลกระทบของโควิดรอบใหม่ทำให้กำไรฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่คาด เราจึงปรับประมาณการลง แต่คาดว่ากำไรมีโอกาสฟื้นตัวได้ใน 3Q64-4Q64 หากการฉีดวัคซีนทำได้มากขึ้นซึ่งจะทำให้จำนวนลูกค้ากลับมาได้เร็วเหมือนช่วงเปิดเมืองในปีก่อน และส่วนลดค่าเช่าน้อยลง ขณะที่การเปิดโครงก่ารใหม่ๆ ยังคงเป็นไปตามแผนซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว แนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว โดยประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ (DCF) 60 บาท จากเดิม 64 บาท

กำไร 1Q64 ต่ำกว่าคาด

กำไรสุทธิ 1Q64 เท่ากับ 3,835 ล้านบาท (+90% QoQ, -16% YoY) หากไม่รวมกำไรจากการขายทรัพย์สินของเซ็นทรัลมารีนาพัทยา และ เซ็นทรัลลำปาง ให้กับ CPNREIT กำไรปกติเท่ากับ 1,620 ล้านบาท (-25% QoQ, -33% YoY) ต่ำกว่าที่คาด จากอัตรากำไรขั้นต้นน้อยกว่าคาด รายได้ลดลงจากการะบาดของโควิดรอบใหม่ มีการให้ส่วนลดค่าเช่าเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 30% แต่บริษัทยังมีการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี

ปรับลดประมาณการสะท้อนกำไรฟื้นตัวช้า

จำนวนลูกค้าเข้าศูนย์การค้า (Traffic) ใน 2Q64 ลดลงมาที่ 40-50% จาก 70% ใน 1Q64 ส่วนลดค่าเช่าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 1Q64 ที่ 30% ซึ่งทำให้แนวโน้มกำไร 2Q64 ชะลอลง แต่คาดหวังการฟื้นตัวใน 2H64 จากการฉีดวัคซีนมากขึ้นซึ่งคาดว่าจะทำให้ Traffic ใน 4Q64 ฟื้นตัวมาที่ระดับใกล้เคียงกับช่วงต้น 4Q63 ที่ 80% เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2564-2565 ลง 18% และ 11% สะท้อนผลกระทบของโควิดรอบ 3

จะกลับมาเติบโตได้จากเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

CPN ลงทุน 25% ในการร่วมพัฒนาโครงการ Mixed-use บนที่ดิน 23 ไร่ของสถานฑูตอังกฤษเดิม (Freehold) คาดจะเสร็จปี 2569 มูลค่าลงทุนไม่เกิน 13,873 ล้านบาท ประกอบด้วยศูนย์การค้า 70,000 ตรม. และ อาคารสำนักงาน 140,000 ตรม. โดยโครงการ Mixed-use นี้จะเป็นโครงการพรีเมี่ยมที่สุดของ CPN และอาศัยเครือข่ายของผู้ร่วมลงทุนคือ Hong Kong Land ในการพัฒนาโครงการและหาผู้เช่า ส่วนโครงการใหม่ที่อยุธยาและศรีราชายังคงเปิดตามกำหนดเดิมในช่วงปลายปี แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย ส่วนในปี 2565 จะเปิดโครงการที่จันทบุรี และโครงการ Dusit Central Park ปี 2566-2567 อีกทั้งอาจเปิดโครงการใหม่อื่นๆอีก 2-3 โครงการในช่วง 2-3 ปีนี้

ความเสี่ยง: การล็อกดาวน์ ปรับค่าเช่าได้น้อยกว่าคาด เลื่อนเปิดโครงการ การชุมนุม

Suttatip Peerasub

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1430

Banpu Power (BPP TB)

Upgrade เป็นถือ แต่ราคาถ่านหินสูงกดดัน

HOLD

Share Price               THB 17.80

12 m Price Target     THB 18.00 (+1%)

Previous Price Target THB 17.50

NPAT 1Q64 เพิ่ม +6% YoY แต่การดำเนินงานหลักอ่อนแอลง

NPAT 1Q64 อยู่ที่ 1.03 พันล้านบาท (+6% YoY) เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างการควบรวมกิจการ (ที่ไม่ใช่เงินสด) 577 ล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับ BANPU NEXT ในไตรมาส 1/63 การดำเนินงานหลัก NPAT ลดลง -25% YoY ยอดขายไตรมาส 1/64 ทรงตัวที่ 1.81 พันล้านบาท รายได้ที่เพิ่มขึ้น 11% จาก CHP (ยอดขายไอน้ำที่สูงขึ้นจากการฟื้นตัวของ China IU และราคาขาย) ถูกชดเชยด้วยการสูญเสียรายได้จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ของจีนและญี่ปุ่นที่ถูกจัดให้อยู่ภายใต้ Banpu Next แทน กำไรขั้นต้นลดลง 33% YoY เป็น 174 ล้านบาทเนื่องจากอัตรากำไรของ CHP ได้รับแรงกดดันจากราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจาก JV ลดลง 33% YoY เป็น 739 ล้านบาท (HPC ปิดซ่อมบำรุงตามแผน 28 วัน ในขณะที่ BANPU Next มีส่วนแบ่ง -128 ล้านบาท) HPC EAF ยังคงดีที่ 83% BPP รับรู้รายได้อื่น 283 ล้านบาท 1) รายได้ดอกเบี้ย 92 ล้านบาท 2) ค่าธรรมเนียมการจัดการ 47 ล้านบาท 3) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 60 ล้านบาท 4) 43 ล้านบาทจากการขายขี้เถ้าและตะกรันจากโรงงาน CHP 5) ค่าธรรมเนียมท่อ 41 ล้านบาท

ราคาถ่านหินพุ่งสูงกดดันอัตรากำไร CHP

แม้ CHP จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 185 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง 119 ล้านบาทจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (ต้นทุนถ่านหิน) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 19% เทียบกับ 23% ใน 4Q63 และ 28% ใน 1Q63 ราคาถ่านหินในประเทศเพิ่มขึ้น 22% YoY เป็น 721 หยวน / ตัน เนื่องจากความไม่สมดุลของอุปสงค์ / อุปทาน การบริโภคถ่านหินยังคงแข็งแกร่งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่อุปทานยังคงตึงตัวจากการปิดเหมืองถ่านหินในประเทศในประเด็นด้านความปลอดภัยและความตึงเครียดอย่าง

ต่อเนื่องกับออสเตรเลีย (คิดเป็น 50-60% ของการนำเข้าถ่านหินของจีน) สมมติฐานราคาถ่านหินของเราในปี 64 คือ 670 หยวน / ตัน แต่เราเห็นความเสี่ยงที่ราคาถ่านหินอาจพุ่งสูงเกินไป ราคาถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 10 หยวน / ตันจะลดผลกำไรของ BPP ลง 32 ล้านบาท หรือ 0.7% ราคาถ่านหินน่าจะอ่อนตัวลงใน 2Q-3Q64 เนื่องจากความต้องการใช้ความร้อนสูงสุดในช่วงฤดูหนาว

โรงงาน Nakoso เพิ่มกำไร 200 ล้านบาท

BPP ได้เพิ่มกำลังการผลิต 73MWe จากการลงทุนในโรงงาน Nakoso IGCC Japan โดย COD ในวันที่ 16 เมษายน 2564 โครงการน่าจะเพิ่มผลกำไรปี 64 เป็น 200 ล้านบาท EIRR ของโครงการคือ 9% เราได้ปรับรูปแบบของเราให้เหมาะสม การก่อสร้าง SLG กำลังผลิต 396MW เสร็จสมบูรณ์และอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ จะจ่ายกระแสไฟฟ้าใน 2H64 ขณะที่ COD ของโซลาร์ฟาร์ม 2 แห่งในญี่ปุ่นและโครงการพลังงานลมในเวียดนามเป็นไปตามแผนในปีนี้ Banpu Next ติดลบจากผลขาดทุนจากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Sunseap 212MWe และโรงงานแบตเตอรี่ Durapower 1GW ซึ่งพบว่าความต้องการของลูกค้าในยุโรป (แบตเตอรี่สำหรับรถบรรทุกรถโดยสารเรือเฟอร์รี่) ลดลงเนื่องจากผลกระทบของ Covid19

อัพเกรดเป็น ถือ เป้าหมายปี 2568 ดูท้าทาย

เราอัพเกรดเป็น ถือ เนื่องจากราคาหุ้นชนราคาเป้าหมายของเราแล้ว เราจึงเพิ่ม TP เป็น 18 บาทจาก 17.5 บาท (13.6% WACC, 2% LTG) เพื่อสะท้อนกำไรจากโรงงาน Nakoso IGCC โดยรายได้น่าจะดีขึ้นใน 2H64 จากรายได้เพิ่มจาก Nakoso และ SLG ความเสี่ยงยังคงอยู่ที่ 1) ราคาถ่านหินที่สูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 64 2) อาจเกิดความล่าช้าของ SLG โดย BPP ได้กำหนดแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 5.3GW (พลังงานความร้อน 4.3GW, พลังงานหมุนเวียน 1GW) ภายในปี 2568 จาก 2.8GW ปัจจุบัน (ความร้อน 2.4GW, พลังงานหมุนเวียน 0.4GW) ทิศทางเป็นบวก แต่สเกลดูท้าทาย

Kaushal Ladha, CFA

[email protected]

(66) 2658 5000 ext 1392

Somboon Advance Technology (SAT)

1Q64 ทำสถิติ เพิ่มกำไรและเป้าหมาย

BUY

Share Price             THB 20.00

12 m Price Target     THB 24.00 (+20%)

Previous Price Target THB 22.50

ประเด็นการลงทุน

กำไร 1Q64 โดดเด่นทำสถิติสูงสุดใหม่ถึง 321 ล้านบาท (+66%YoY) จากยอดขายที่โตดีกว่าอุตสาหกรรม และ อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ปี 2564 ผู้บริหารปรับเพิ่มเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ 1.65-1.7 ล้านคัน โต 15-20% ยอดขาย SAT จะโตกว่าอุตสาหกรรมจากได้รับคำสั่งซื้อใหม่เข้ามา เราปรับประมาณการขึ้น คาดกำไร 970 ล้านบาท โต 160% ทำสถิติสูงใหม่ เราปรับราคาเป้าหมายขึ้น 24 บาท จาก 22.5 บาท บนฐาน ค่าเฉลี่ย10 ปี Forward P/E เท่ากับ 10.5 เท่า คงแนะนำ ซื้อ    

กำไร 1Q64 ทำสถิติสูงสุดใหม่

SAT ประกาศผลประกอบการ 1Q64 มีกำไรที่สูงถึง 321 ล้านบาท (+33%QoQ, +66%YoY) โดยกำไรปกติทำสถิติสูงสุดใหม่ มากกว่าเราคาดจะมีกำไร 255 ล้านบาท ผลประกอบการได้แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตได้ดี 2,208 ล้านบาท (+25%QoQ, +21%YoY) ดีกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 465,833 คัน (+3%YoY) เนื่องจากได้รับคำสั่งซื้อใหม่ส่งไปสหรัฐฯช่วยเพิ่มยอดขายประมาณ 70 ล้านบาท และ ส่วนรถเทรกเตอร์ที่โตดีกว่ารถยนต์ คือมียอดผลิต 27,000 คัน (+53%YoY) และ อัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น 21.1% จาก 20.7% ในไตรมาสก่อน และ 18.3% ในปีก่อน จากการรวมสายการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพ และ ลดต้นทุน

ผู้บริหารเพิ่มเป้าผลิตรถ 1.65-1.7 ล้านคัน SAT จะโตดีกว่าอุตสาหกรรม

อุตสาหกรรมรถยนต์ปีนี้เติบโตได้ดีกว่าคาด แรงหนุนจากการส่งออก ทำให้ผู้บริหารปรับเป้าหมายผลิตรถยนต์ขึ้นเป็น 1.65-1.7 ล้านคัน หรือ โต 15-20% จากเดิม 1.5-1.55 ล้านคัน SAT จะโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะ ได้รับคำสั่งซื้อใหม่ประมาณ 300 ล้านบาท และ ลูกค้า Kubota ที่เติบโตดี ประเด็นเรื่องชิพขาดแคลน ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์บางรายหยุดผลิตชั่วคราว สำหรับลูกค้าหลักของ SAT ไม่ได้รับผลกระทบโดยยังผลิตปกติ ประเด็นเรื่องราคาเหล็กที่ปรับขึ้น ระยะยาว SAT จะขายชิ้นส่วนในลักษณะบวกต้นทุน จึงไม่รับผลกระทบ

ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น กำไรปีนี้จะทำสถิติสูงสุดใหม่

จากผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ และ มากกว่าคาดมาก บวกปี 2564 จะได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพลาข้างไปสหรัฐฯเข้ามาเสริม 300 ล้านบาท ปี 2565 จะได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพลาข้างและเพลาขับให้ค่ายรถกระบะในประเทศไทยประมาณ 350 ล้านบาท เราปรับประมาณยอดขายและกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 12% และ 18% ตามลำดับ คาดปี 2564 ยอดขายจะฟื้นตัว 8,050 ล้านบาท โต 37% และ มีกำไรเท่ากับ 970 ล้านบาท โต 160% ทำสถิติสูงสุดใหม่ กำไรไตรมาสแรกคิดเป็น 33% ของประมาณการทั้งปี โดยเราประเมินกำไรในช่วงที่เหลือของปีจะชะลอตัวลง

ความเสี่ยง : ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งในและต่างประเทศ / ต้นทุนวัตถุดิบ

Surachai Pramualcharoenkit

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1470

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!