WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 30-4-2021May

AT THE OPEN (#ATO)

S T R A T E G Y   R E P O R T / 30 เมษายน 2564

INVESTMENT STRATEGY

แกว่งในกรอบจำกัด :

ยาแรง "ถูกที่ "และ"ถูกเวลา"

วันนี้คาด SET แกว่งในกรอบจำกัด แนวรับ 1,580 จุด และแนวต้าน 1,600 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรดี โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “DCC, WHA”

DCC

รายงานกำไร 1Q64 ทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 493 ล้านบาท (ดีกว่าคาด 7%) แรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตดี อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นสู่ระดับ 42.7% จากไตรมาสก่อนที่ 41.8% และมีการปรับราคาขายขึ้นราว 2-4% ผสานคู่แข่งกระเบื้องจากจีนที่โดนประเด็นค่าขนส่งสูง จึงทำให้กระเบื้องในประเทศยังดี

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 3.5 บาท

WHA

คาดแนวโน้มปี 2564 ฟื้นตัวดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2H64 ตอบรับพัฒนาการเชิงบวกที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากประเด็น COVID-19 หลังการกระจายวัคซีนทั่วถึงขึ้น ช่วยหนุนโอกาสในการเปิดประเทศ ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถกลับมาซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น (Pent-up demand)

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 3.9 บาท

US GDP และภาคแรงงานอยู่ในเกณฑ์ดี : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลข GDP 1Q64 ขยายตัว +6.4%QoQ เร่งตัวขึ้นจาก 4Q63 ที่ +4.3%QoQ แต่ต่ำกว่าที่ Bloomberg คาดที่ +6.7%QoQ โดยรวมถือว่าภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวขึ้นได้ดี สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ที่ 5.53 แสนตำแหน่ง ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 5.66 แสนตำแหน่ง ถือเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐฯเมื่อเดือน มี.ค.63 สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงถัดไป ส่งผลดีต่อการเก็งกำไรสินทรัพย์เสี่ยง

ยาแรง "ถูกที่ "และ"ถูกเวลา" หนุน SET ตอบรับบวก : จากการแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศที่ยังน่าเป็นห่วง ส่งผลให้ภาครัฐฯพยายามใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น โดยวานนี้ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบการปรับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มจำนวน 6 จังหวัด ได้แก่ กทม. ชลบุรี เชียงใหม่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมาตรการที่เข้มข้นขึ้นในพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น ให้ใส่หน้ากากอนามัยออกนอกเคหะสถานและในที่สาธารณะ, ห้ามรวมกลุ่มเกิน 20 คน, งดรับประทานอาหารในร้าน (ซื้อกลับได้ถึง 21.00 น.), ร้านสะดวกซื้อเปิดบริการ 4.00-23.00 น., ปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ศูนย์การค้าเปิดได้ไม่เกิน 21.00 น., ปิดสถานศึกษา, กีฬากลางแจ้ง เปิดไม่เกิน 21.00 น. ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นมาตรการนี้ "ถูกที่" คือ ควบคุมเฉพาะจังหวัดเสี่ยง และ "ถูกเวลา" คือ ออกมาในวันที่จำนวนผู้ติดเชื้อชะลอลงต่ำกว่า 2,000 ราย เป็นวันแรก หนุนให้ตลาดมีความคาดหวังมากยิ่งขึ้นในช่วงถัดไป

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET แกว่งขึ้น ตอบรับตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศทรงตัว และเริ่มมีแรงเก็งผลประกอบการมากยิ่งขึ้น โดย SET ปิดที่ 1,590.46 (+13.67) มูลค่าการซื้อขาย 8.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.5 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 806 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,971 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 20,109

EYES ON

29 เม.ย. US GDP 1Q64, ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก US

30 เม.ย. การใช้จ่ายและรายได้ส่วนบุคคล US, รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนมีนาคม, PMI ภาคการผลิตและบริการของ จีน, Eurozone GDP 1Q64

Bumrungrad Hospital (BH TB)

ฟื้นตัวช้า ลากยาวไปถึงปี 66

HOLD

Share Price               THB 141.00

12 m Price Target     THB 146.00 (+4%)

Previous Price Target THB 150.00

คงแนะนำ ถือ หั่น TP เหลือ 146 บาท จากไตรมาส 1/64 ที่อ่อนแอ

เราปรับลด TP เหลือ 146 บาท จากไตรมาส 1/64 ที่อ่อนแอ โดยมีกำไรหลักเพียง 98 ล้านบาทจากที่เราคาดไว้ที่ 163 ล้านบาท ผลจาก 1) โควิดระบาดระลอก 2 ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาล และ 2) การไม่มี Respiratory Syncytial Virus (RSV) ที่ทำให้เด็กเล็กติดเชื้อในไตรมาส 4/63 ส่งผลให้รายได้ลดลง 9 % QoQ และ 35% YoY เป็น 2.65 พันล้านบาทใน 1Q64 จากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงมากในธุรกิจโรงพยาบาล ทำให้อัตรากำไรของ EBITDA ลดลงอย่างมากเป็น 16% ในไตรมาส 1/64 จาก 17% ใน 4Q63 และ 30% ใน 1Q63 ทำให้กำไรหลักลดลง 46% QoQ และ 87% YoY เป็น 98 ล้านบาท จากแนวโน้มที่อ่อนตัวใน 2Q64 และความล่าช้าของประเทศไทยที่จะเปิดประเทศอีกครั้งเป็นไตรมาส 1/65 (เทียบกับที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 2H64) ซึ่งส่งผลกระทบต่อ BH โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก 67% ของรายได้ปกติมาจากผู้ป่วยจากต่างประเทศ เราจึงลดคาดการณ์กำไรหลักในปี 64 และ 65 ลง 84 % และ 45% แต่จะคงประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป

กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ก็ปี 66

ก่อนหน้านี้เราคาดว่าประเทศไทยจะเปิดพรมแดนอีกครั้งภายใน 2H64 และกำไรหลักของ BH จะกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด (ปี 63) ในปี 65 อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศเต็มรูปแบบของไทยที่อาจล่าช้าไปจนถึงไตรมาส 1/65 เราคาดว่าการฟื้นตัวเต็มที่ของ BH จะลากยาวไปถึงปี 66 เนื่องจากเราคาดว่าผู้ป่วยต่างชาติจะเริ่มกลับมาใน 2H65 และจะกลับมาเต็มที่ในปี 66

ไตรมาส 2/64 ยังคงอ่อนตัว จากการระบาดระลอกที่ 3

เราคาดว่าไตรมาส 2/64 จะยังคงอ่อนแอ เนื่องจากการระบาดระลอกที่ 3 ที่เริ่มในเดือนเมษายน 64 น่าจะส่งผลกระทบต่อการมาโรงพยาบาลเช่นเดียวกับไตรมาส 1/64 เนื่องจากผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งแตกต่างจากผู้ให้บริการประกันสังคมที่เสนอการตรวจฟรีและได้รับเงินคืนจากรัฐบาล BH ไม่ได้รับประโยชน์จากรายได้จากการตรวจ Covid ที่สูงขึ้น เราจึงคาดว่าผลกำไรจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/64

หุ้นซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 29 เท่า

เราใช้วิธี DCF, WACC 6.31% และการเติบโต 2% ในการประเมินราคาเป้าหมาย ในบรรดาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลไทยที่เราศึกษา BH ได้รับผลกระทบจากโควิดมากที่สุดเนื่องจากอิงลูกค้าจากต่างประเทศจำนวนมาก และจะเป็นผู้รับผลประโยชน์ที่ดีที่สุดหากประเทศไทยเปิดพรมแดนอีกครั้ง เราคิดว่านักลงทุนมองข้ามช็อตอาการสะดุดในระยะสั้นไปแล้ว และเล็งไปที่การฟื้นตัวเต็มที่ในปี 66 อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันได้ตอบรับความคาดหวังการฟื้นตัวไปแล้ว ปัจจุบัน BH ซื้อขายที่ P / E ปี 66 ที่ 29 เท่า มีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 36 เท่า เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในปัจจุบัน

Yuwanee Prommaporn

[email protected]

(66) 2658 5000 ext 1393

CP All (CPALL)

คาดกำไร 1Q64 ลด แต่แนวโน้มฟื้นตัวได้

BUY

Share Price                 THB 63.25

12 m Price Target       THB 69.00 (+9%)

Previous Price Target THB 69.00

ประเด็นการลงทุน

คาดกำไร 1Q64 ลดลง 38% YoY จาก SSSG ติดลบมากขึ้น การเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเทสโก้ยังไม่สามารถชดเชยดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการกู้ยืม อย่างไรก็ดี เราคาดว่ากำไร 2Q64 จะกลับมาเติบโตได้จากฐานต่ำในปีก่อน และหากสถานการณ์คลี่คลายลงจากการที่ภาครัฐใช้มาตรการควบคุมเข้มงวดมากขึ้น คาดว่าผลประกอบการจะค่อยๆ ฟื้นตัว แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 69 บาท (DCF, WACC 7.2%, G.4%)

SSSG 1Q64 ติดลบมากขึ้น

จากการระบาดของโควิดรอบใหม่ จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ผลกระทบของโครงการภาครัฐ (คนละครึ่ง) และฐานสูงในเดือน มี.ค. 2563 ที่ผู้บริโภคตุนสินค้าและซื้อสินค้าแพคใหญ่ เราคาดว่า SSSG 1Q64 ของร้านเซเว่นฯ ติดลบมากขึ้นเป็น -19% (เทียบกับ -4% ใน 1Q63 และ -18% ใน 4Q63) ขณะที่คาดว่าใน 1Q64 มีการขยายสาขา 230 สาขา หรือคิดเป็น 680 สาขา YoY เราจึงคาดว่า CPALL มียอดขายรวมลดลง 9% YoY

คาดกำไร 1Q64 ลดลง 38% YoY

คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 8bps YoY เป็น 22% ตามยอดขายที่ลดลง และสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงลดลง อีกทั้งมีโปรโมชั่นอาหารพร้อมรับประทาน ค่าใช้จ่ายทางการเงินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 54% YoY เป็น 2,892 ล้านบาท เนื่องจากบันทึกดอกเบี้ยจ่ายเต็มไตรมาสสำหรับเงินกู้ 84,000 ล้านบาทมาลงทุนในเทสโก้ตั้งแต่ปลายปีก่อน ขณะที่ CPALL จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไร 40% จากเทสโก้เป็นเวลาเต็มไตรมาสเช่นกันซึ่งเราคาด 221 ล้านบาท เราประเมินกำไรสุทธิ 3,501 ล้านบาท (-2% QoQ, -38% YoY)

หลายปัจจัยกดดัน แต่คาดกำไร 2Q64 เติบโตได้

การจำกัดเวลาเปิดร้านสะดวกซื้อในพื้นที่สีแดงและสีแดงเข้ม 51 จังหวัด ซึ่งมีจำนวนร้านเซเว่นฯ มากกว่า 80% ของสาขาทั้งหมด คาดว่าจะส่งผลกระทบส่วนหนึ่งต่อ SSSG อย่างไรก็ดี เราคาดว่า SSSG 2Q64 จะฟื้นตัวได้จากฐานต่ำในปีก่อนที่ -20.2% ซึ่งมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จำกัดการเดินทาง เคอร์ฟิว และห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เราคาดว่ากำไร 2Q64 จะกลับมาเติบโต YoY จากฐานต่ำ และกำไรจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นจากการที่ภาครัฐใช้มาตรการควบคุมเข้มงวดมากขึ้น และการฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการเดินทางท่องเที่ยวและการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น

ความเสี่ยง: การล็อกดาวน์ SSSG ฟื้นตัวช้ากว่าคาด นักท่องเที่ยวลดลง

Suttatip Peerasub

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1430

PTT Exploration & Production (PTTEP TB)

กำไรหลักไตรมาส 1/64 โตแรง

BUY

Share Price               THB 116.00

12 m Price Target     THB 148.00 (+28%)

Previous Price Target THB 148.00

NPAT ไตรมาส 1/64 โตกระฉูดจากผลกำไรที่ไม่เกิดขึ้นประจำ

PTTEP ยังคงเป็นหุ้นเด่น กำไรหลัก 1Q64 อยู่ที่ 8.9 พันล้านบาท (68% QoQ, -3% YoY) ตามคาด แนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องจากปริมาณที่เพิ่มขึ้นและมีอัพไซด์จากน้ำมันดิบ ขณะที่ NPAT ไตรมาส 1/64 พุ่งแตะ 1.15 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 356% QoQ และ 34% YoY จากกำไรสุทธิจำนวนมากที่ไม่เกิดขึ้นประจำ 7.7 พันล้านบาท ได้แก่ 1) กำไร 1.07 หมื่นล้านบาทจากการต่อรองราคาซื้อแหล่งโอมาน 61 (จ่าย 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ > มูลค่ายุติธรรม 2.7 ล้านเหรียญสหรัฐ) 2) ขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงน้ำมัน 3 พันล้านบาท ขณะที่ปริมาณขายไตรมาส 1/64 ทรงตัวที่ 382KBOED ปริมาณรับก๊าซจากแหล่งบงกชที่เพิ่มขึ้นชดเชยปริมาณขายจากโครงการมาเลเซียที่ลดลง ราคาขายเฉลี่ย ASP 1Q64 เพิ่มขึ้น 10% QoQ เป็น 40.38 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล หนุนโดยราคาของเหลวที่เพิ่มขึ้น 33% ในขณะที่ราคาก๊าซยังคงทรงตัวที่ 5.61 เหรียญสหรัฐ / mmbtu ต้นทุนต่อหน่วยลดลงเหลือ 27.96 เหรียญสหรัฐ / BOE (เทียบกับ 31.09 เหรียญสหรัฐ / BOE) จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง (ปริมาณของมาเลเซียลดลง) ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 148 บาท (P / E ปี 64 ที่ 16 เท่า, + 0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี)

แนวโน้มปี 64 มีทั้งอัพไซด์และดาวน์ไซด์

ผู้บริหารคาดปริมาณขายทั้งปี 64 อยู่ที่ 405KBOED (14% YoY) และ 416KBOED สำหรับ 2Q64 (9% QoQ, 27% YoY) (รวม Oman Block 61) การระบาดระลอกใหม่ของ Covid-19 และผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นความเสี่ยงเนื่องจากอาจกดดันการรับก๊าซจากอ่าวไทย ธปท.อาจลดคาดการณ์ GDP ปี 64 ของไทยลงเหลือ 3% จากผลกระทบของการระบาดระลอกที่ 3 ผบห.ยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบและก๊าซประจำปี 64 ไว้ที่ 55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลและ 5.6 เหรียญสหรัฐ/mmbtu เรามองว่าราคาน้ำมันดิบในครึ่งปีหลังจะดีขึ้นจากการฉีดวัคซีนที่เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้อาจทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นได้ ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น 5 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรลจะทำให้กำไรปี 64 เพิ่มขึ้นโดยตรง 3 พันล้านบาทหรือ 9% และผลักดันให้ราคาก๊าซ (ขึ้นช้ากว่าน้ำมันดิบ) สูงขึ้น 0.1 เหรียญสหรัฐ / mmbtu (880 ล้านบาทหรือ 2%) สมมติฐานราคาน้ำมันดิบปี 64 ของเราอยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล ต้นทุนต่อหน่วยปี 64 ประมาณ 28-29 เหรียญสหรัฐ / BOE

สถานการณ์ในเมียนมาร์ยังคงระอุ

วิกฤตการณ์ทางการเมืองในเมียนมาร์ (12% ของรายได้ PTTEP) จนถึงขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานเนื่องจากอยู่ในทะเล โดย PTTEP ได้จัดตั้งทีมบริหารวิกฤตเพื่อบริหารจัดการและวางแผนรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ โดย ผบห.จะยังคงปฏิบัติตามข้อตกลง PSC กับรัฐบาลเมียนมาร์และยังคงดำเนินงานตอไป ขณะที่โครงการ Gas to Power (600MW) ในเมียนมาร์อยู่ในช่วงเริ่มต้น เหตุการณ์ความไม่สงบทำให้การสำรวจไซต์เกิดความล่าช้า แต่โครงการอื่น ๆ ยังคงดำเนินการอยู่ PTTEPคาดว่าไทม์ไลน์ของ FID (2565) และ COD (2568) จะไม่เปลี่ยนแปลง คาดว่าโครงการจะเพิ่ม 50KBOED (10%) ให้กับปริมาณขายของ PTTEP ในปี 2568

เหตุสุดวิสัยในโมซัมบิก

Total ประกาศเหตุสุดวิสัยในการก่อสร้างโครงการโมซัมบิก LNG มูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเนื่องจากบุคลากรในโครงการถูกบังคับให้อพยพเนื่องจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค Total เป็นผู้ดำเนินการและถือหุ้น 26.5% ขณะที่ PTTEP ถือหุ้น 8.5% ผบห.ไม่คาดหวังว่าจะส่งผลกระทบต่อการจ่ายก๊าซครั้งแรกจากโครงการ (2567) เนื่องจากสามารถเร่งการผลิตได้หากจำเป็น ทั้งนี้ ดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 30% เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณของความล่าช้าอย่างเป็นรูปธรรม จึงไม่จำเป็นต้องมีการด้อยค่า โดยโครงการจะเพิ่มปริมาณก๊าซให้กับ PTTEP ที่ 2%/5% ในปี 2567/68 ซึ่งค่อนข้างน้อย

Kaushal Ladha, CFA

[email protected]

(66) 2658 5000 ext 1392  

Siam Cement (SCC)

กำไร 1Q64 สูงสุด15 ไตรมาส เพิ่มเป้าหมาย

BUY

Share Price               THB 466.00

12 m Price Target     THB 520.00 (+12%)

Previous Price Target THB 450.00

ประเด็นการลงทุน

กำไร 1Q64 สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส แนวโน้ม 2Q64 จะดีขึ้นอีก จากสเปรดธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับขึ้นต่อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ การขยายกำลังการผลิต คาดจะหนุนผลประกอบการปีนี้เติบโตได้ดี ปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีก ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ คือ ธุรกิจปิโตรเคมี กำลังการผลิตจะเพิ่ม70% ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เน้นเซอร์วิสและโซลูชั่น ไปรีเทล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ตั้งเป้าจะโตเป็น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า คงแนะนำ ซื้อ เพิ่มเป้าหมายเป็น 520 บาท บนฐาน Forward P/E+0.5SD = 13.9 เท่า จาก 450 บาท    

กำไร1Q64สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส หรือ 4 ปี

SCC ประกาศผลประกอบการมีกำไรสุทธิที่เติบโตเด่นและสูงถึง 14,914 ล้านบาท (+85%QoQ, +114%YoY) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส มากกว่าเราคาดจะมีกำไรเท่ากับ 12,700 ล้านบาท ทั้งนี้มีรายการพิเศษ คือ กำไรในสต็อก 1,140 ล้านบาท ถ้าหักรายการนี้จะมีกำไรปกติที่ยังสูงเด่นเท่ากับ 13,824 ล้านบาท ทั้งสามธุรกิจหลักกำไรมีการเติบโต โดยได้แรงหนุนมากสุดจาก ธุรกิจเคมิคอลส์ มีกำไร 8,829 ล้านบาท (+51%QoQ, +397%YoY) ซึ่งไตรมาส 1Q64 เริ่มมีกำลังการผลิตใหม่ MOCDเข้ามาเสริม 20,000 ตัน ทำให้ปริมาณขายเพิ่มเป็น 488,000 ตัน (+27%QoQ, +16%YoY) และ สเปรดที่อยู่ในเกณฑ์ดี คือ HDPE - Naphtha 588 เหรียญ/ตัน (-1%QoQ, +47%YoY) และ PP – Naphtha 791 เหรียญ/ตัน (+7%QoQ, +44%YoY)  

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างโตเล็กน้อย ส่วนบรรจุภัณฑ์ครบวงจรโตเด่น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างกำไรเติบโตได้เล็กน้อย 2,809 ล้านบาท (+1%YoY) จากความต้องการปูนซีเมนต์ที่เติบโต 3%YoY และ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร มีกำไรที่โดดเด่น 2,135 ล้านบาท (+44%QoQ, +23%YoY) จากการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และ กลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร รวมถึง การบรูณาการภายในห่วงโซ่คุณค่า ทำให้อัตรากำไรดี

ไตรมาส 2Q64 มีแนวโน้มจะดีขึ้นอีก

ภาพรวม 2Q64 มีแนวโน้มจะดีขึ้นอีก แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจเคมิคอลส์ ซึ่ง ราคาผลิตภัณฑ์ รวมถึงสเปรด HDPE, PP, PVC ปรับขึ้นต่อ เพราะ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังต่อเนื่อง ชัพพลายมีข้อจำกัดจากโรงงานปิโตรเคมีหลายแห่งมีการปิดซ่อมบำรุง นอกจากนี้ยังมีกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น 12% ของ MOCD ช่วยเพิ่มยอดขาย ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดจะเติบโตจากปีก่อน จากโครงการภาครัฐบาลยังต่อเนื่อง และ การก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องแรงหนุนจากขยายกำลังการผลิต และ ควบรวมกิจการ แต่ธุรกิจปิโตรเคมีครึ่งปีหลังจะชะลอตัวจากครึ่งปีแรกจากกำลังการผลิตใหม่รวม รวมแล้วเราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอีก คาดกำไรปีนี้ 44,892 ล้านบาท โต 32%

Surachai Pramualcharoenkit

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1470

******************************************

 

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

SAM720x100px bgGC 790x90

SME720 x 100banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!