- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 19 March 2021 17:45
- Hits: 13261
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 19-3-2021
INVESTMENT STRATEGY
ย่อสร้างฐาน :
ราคาน้ำมันดิบโลกลงแรง
วันนี้คาด SET ย่อสร้างฐาน ประเมินแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัว โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “AMATA, SAT”
AMATA
คาดแนวโน้มของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้น โดยเราเชื่อว่าจะเกิดความต้องการซื้อที่ดินที่รออยู่จะช่วยหนุนให้กำไรกลับเข้ามา หากมีการเปิดประเทศที่ชัดเจน โดยวันนี้แนะติดตาม ศบค.ชุดใหญ่ ที่อาจจะเพิ่มความชัดเจนต่อกระบวนการในช่วงถัดไป
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 20 บาท
SAT
ยอดผลิตรถยนต์ไทย กพ. กลับมาเติบโต 155,200 คัน (+5%MoM, +3%YoY) โดยแบ่งเป็น ตลาดรถยนต์ในประเทศ 58,960 คัน (+7%MoM) และ ยอดส่งออก 79,470 คัน (+7%MoM) และคาด มี.ค.-เม.ย.จะดีขึ้นต่อจากแรงหนุนงานมอเตอร์โชว์ และ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 20 บาท
INVESTMENT THEME
ราคาน้ำมันดิบโลกลงแรง
- ตลาดยังกังวลต่อเงินเฟ้อ : ยังคงเห็นสัญญาณของแรงขายพันธบัตรระยะยาวอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ฟื้นตัวแรง เป็นปัจจัยเร่งให้อัตราเงินเฟ้อแกว่งสูงขึ้น สะท้อนออกมาให้เห็นการขยับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของหสรัฐฯ ที่เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ตั้งแต่มกราคม 2563 สู่ระดับ 1.714%
- ราคาน้ำมันดิบโลกแกว่งตัวลงแรง : วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลงแรงกว่า -7% ตอบรับความกังวลต่อสถานการณ์ COVID-19 ในยุโรป ซึ่งพบว่าหลายประเทศมีการระงับการใช้วัคซีนจากแสนตร้าเซนเนก้า เนื่องจากมีรายงานผลข้างเคียงหลังฉีดโดยเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดต้น แต่อย่างไรก็ดีล่าสุดทั้งด้าน WHO และทาง อย.ของยุโรป ก็ออกมารับรองความปลอดภัย ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบางประเทศกลับมาฉีดอีกครั้ง จึงมองราคาน้ำมันที่ปรับฐานอาจเริ่มจำกัด
- ระมัดระวังการปรับพอร์ต FTSE และจับตาประชุม ศบค. ชุดใหญ่ : ปัจจัยในประเทศวันนี้แนะติดตามการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ซึ่งอาจมีการชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมของ Timeline การเปิดประเทศ ส่วนในช่วงท้ายแนะเพิ่มความระมัดระวังจากการปรับพอร์ตของ FTSE Rebalancing โดยรอบนี้ตลาดหุ้นไทยถูกปรับลดน้ำหนักจาก 2.3% ลงสู่ 2.25% ซึ่งอาจทำให้หุ้นขนาดใหญ่แกว่งผันผวน
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,568.82 +2.06
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 18 มี.ค. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน 916.88
บัญชี บล. 470.24
ต่างชาติ -735.91
ในประเทศ -651.20
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET เปิดโดดรับผลประชุม FED ที่คงดอกเบี้ยต่ำ แต่ย่อตัวในช่วงถัดมาจากแรงขายต่างชาติ โดย SET ปิดที่ 1,568.82 (+2.06 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.2 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 736 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 917 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 1,926 สัญญา)
EYES ON
19 มี.ค. FTSE Rebalancing , ประชุม ศบค.ชุดใหญ่
Sri Trang Gloves (Thailand) (STGT)
ยังไม่เสียความสามารถในการแข่งขัน
BUY
Share Price THB 39.75
12m Price Target THB 49.25
Previous Price Target THB 50.00
โครงสร้างผู้เล่นในตลาดเปลี่ยน แต่ STGT แกร่งไม่เปลี่ยน
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ตามเดิม แม้ว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมถุงมือยางโลกกำลังจะเปลี่ยนไป โดยผู้ประกอบการจีนกำลังจะมีบทบาทสูงขึ้นมากในปี 2565-66 แต่ตัวแทนผู้ประกอบการไทยอย่าง STGT จะยังคงรักษาตำแหน่งใน top 4 ของโลกได้ บนความได้เปรียบที่เหนือกว่าในด้านวัตถุดิบ จากการที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก และฐานะทางการเงินที่เข้มแข็งมาก โดยระหว่างเฝ้าดูพัฒนาการของผู้ประกอบการจีนนั้น STGT ยังสามารถให้เงินปันผลระดับสูง Dividend Yield ระดับ 10.9% และมี valuation ที่ปลอดภัยเพียง P/E21F 4.6x
ผู้เล่นจีนจะมีบทบาทมากขึ้นในปี 2566 ทว่า STGT ยังรักษาตำแหน่งได้ดี
ทีมวิจัย Maybank IB ได้ระบุว่า ผู้ประกอบการถุงมือยางจีน 2 รายใหญ่ (Intco และ Blue Sail) กำลังเร่งขยายกำลังกรผลิตอย่างรวดเร็วใน 2 ปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าคาด อีกทั้งยังโฟกัสไปที่ถุงมือยางแบบการแพทย์ (medical grade) ซึ่งเป็นตลาดหลักของผู้ประกอบการในอาเซียน โดยในปี 2566 Into จะมีกำลังการผลิต 173 พันล้านชิ้น เป็นรองเพียง Top Glove ที่ 175 พันล้านชิ้น) ขณะที่ Blue Sail จะเป็นอันดับ 3 ที่ 80 พันล้านชิ้น) ส่วน STGT ยังรั้งอันดับ 4 ได้ที่ 65 พันล้านชิ้น ขณะที่อุปสงค์ในถุงมือยาง Latex และ Nitrile ในปี 2565 จะเริ่มชะลอลงสู่ +10% YoY และ +20% YoY ตามลำดับ (จาก +26% YoY และ +28% YoY ในปี 2564) ดังนั้น ภาวะอุอปทานส่วนเกิน (Oversupply) คาดจะเกิดขึ้นในปี 2566 เป็นต้นไป หลังหักความล่าช้าในการก่อสร้างของ 2565 ไปบ้างก็ตาม
ราคาถุงมือโลกมีโอกาสอ่อนตัวลงอีกในปี 2566 แต่ปี 2564 ยังยอดเยี่ยม
จากแนวโน้มข้างต้น เราจึงได้ปรับประมาณการสมมติฐานราคาถุงมือยางเฉลี่ยในปี 2566 ลงจากเดิม คาดหด 10% เป็นหดตัว 20% หรือ 29.7 เหรียญ/ 1000 ชิ้น จาก 34.9 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ใน 4Q63 และ สมมติฐาน เฉลี่ย 53.0 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรปี 2566 ถูกปรับลง 14.6% และให้ภาพว่าปี 2564 เป็นปีที่ดีที่สุดของบริษัทที่กำไร 2.48 หมื่น ลบ. ปรับจูนลงเล็กน้อย 1.3%
ระหว่างรอดู ยังให้ปันผลสูง yield 10.9-8.7% บน valuation ไม่แพง P/E 4.6x
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปรับจูนลงเล็กน้อย 49.25 บาท/ หุ้น อิง P/E เฉลี่ยกลุ่ม 5.7 เท่า ตามเดิม เรามองว่าระดับ dividend yield 10.9% - 8.7% ใน 2 ปีนี้ ยังเพียงพอสำหรับการเฝ้าดูการพัฒนาของผู้ประกอบการจีนได้ โดยจุดสังเกตุที่น่าสนใจคือ พื้นที่ปลูกยางพาราของไทยกำลังลดลงต่อเนื่องปีละ 2.5 แสนไร่ตามแผนยุทธศาสตร์ล่าสุดในปี 2562 ซึ่งตรงนี้ อาจเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการจีนไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้เร็วตามต้องการ และนั่นจะเป็น upside risk ของประมาณการปี 2566
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
GFPT PCL (GFPT)
แนวโน้มอัตรากำไรลดลง
HOLD
Share Price THB 12.30
12m Price Target THB 13.00 (+6%)
Previous Price Target THB 13.00
ประเด็นการลงทุน
การขยายกำลังการผลิตจะเสร็จทั้งหมดใน 3Q64 ทำให้การส่งออกฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี อัตรากำไรจะถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น และค่าเสื่อมราคาของสายการผลิตใหม่ อีกทั้งการส่งออกไปญี่ปุ่นและยุโรปยังชะลอตัวในช่วง 1Q64 ทำให้คาดว่ากำไร 1Q64 ลดลง YoY เรายังคงคำแนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 13 บาท (PE 13 เท่า อิง PER เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
แนวโน้มกำไร 1Q64 ลดลง YoY
เราคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นจะกดดันให้กำไรสุทธิ 1Q64 ลดลง YoY ราคากากถั่วเหลืองใน 2M64 ปรับตัวขึ้น 37% YoY มาที่ 18.9 บาท/กก. และราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้น 8% YoY เป็น 9.4 บาท/กก. ขณะที่ราคาไก่ลดลง 10% YoY เป็น 32 บาท/กก. ประกอบกับไตรมาส 1 เป็นโลว์ซีซั่น และการส่งออกไก่ไปญี่ปุ่นยังชะลอตัวเนื่องจากความต้องการบริโภคลดลงจากการระบาดของโควิด-19 ส่วนการส่งออกไปยุโรปยังได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ อีกทั้ง GFPT กำลังมีการเปลี่ยนสายการผลิตเฟส 2 ทำให้กำลังการผลิตยังไม่กลับสู่ระดับปกติ
สายการผลิตใหม่เสร็จใน 3Q64
สายการผลิตใหม่ 2 ไลน์ของ GFPT ซึ่งทดแทนสายการผลิตที่ไฟไหม้เมื่อ 4Q62 ได้เริ่มผลิตแล้วใน 1Q64 และ GFPT กำลังติดตั้งเครื่องจักรใหม่ของสายการผลิตอีก 3 ไลน์ ล่าช้าจากเดิมเล็กน้อย โดยจะเสร็จในช่วงต้น 3Q64 ทำให้กำลังการผลิตรวมสำหรับ 5 ไลน์ เพิ่มขึ้น 25-50% เป็น 2,500-3,000 ตัน/เดือน โดยบริษัทคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 50-60% ใน 3Q64 ส่วน McKey จะขยายกำลังการผลิตไก่ส่งออก 50% หรือคิดเป็น 30,000 ตัน/ปี ทำให้มีกำลังการผลิตรวมเป็น 90,000 ตัน/ปี โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปีนี้
ยอดขายฟื้นตัวแต่อัตรากำไรขั้นต้นลดลง
โดยภาพรวมปีนี้ GFPT คาดว่าราคาไก่จะเพิ่มขึ้นเป็น 34-35 บาท/กก. จาก 33 บาท/กก. ในปีก่อน ปริมาณไก่ส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3-5% โดยจะเริ่มฟื้นตัวใน 2H64 ตามสถานการณ์โควิดคลี่คลายและกำลังการผลิตกลับมาสู่ระดับปกติ เราคาดว่ายอดขายปีนี้ฟื้นตัว 4% จากฐานต่ำ แต่คาดว่าอัตรากำไรข้นต้นลดลงจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น ค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรใหม่ และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ยังไม่มากนักเนื่องจากอยู่ในช่วงเริ่มต้นการผลิตในสายการผลิตใหม่
ความเสี่ยง: Oversupply ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม การส่งออกลดลง ขยายกำลังผลิตล่าช้า
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web