- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 12 March 2021 18:00
- Hits: 13372
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 12-3-2021
INVESTMENT STRATEGY
แกว่งขึ้น :
แรงงานสหรัฐแกร่ง
วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น ประเมินแนวรับ 1,560 จุด และแนวต้าน 1,600 จุด เน้นหุ้นที่กำไรปี 64 โตเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “IRPC, CHG”
IRPC
คาดธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ ใน 1H21 มีกำไรดีกว่าตลาดคาด โดยเฉพาะจาก ABS Spread คาดเติบโตถึง 30%QoQ จาก supply หายไปราว 10%ทั่วโลก ราว 3 เดือนจากเหตุไฟไหม้ ส่วน PP spread ยังอยู่ในระดับสูง ตามภาวะอุปทานที่ตึงตัวใน US และ N/E Asia
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 4.5 บาท
CHG
ปรับราคาเป้าหมายขึ้นสู่ 3.25 บาทและปรับเพิ่มคาด EPS ปี 64, 65 ขึ้น 10%, 12% จากการรวมธุรกิจบริหารโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่ง ซึ่งน่าจะเพิ่มกำไรได้ราว 5% และยังเพิ่มอัตรากำไร EBITDA ใน 64 เป็น 27.2% เนื่องจากธุรกิจบริหารโรงพยาบาลสามารถทำกำไร EBITDA ได้ดีขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 3.25 บาท
INVEST MENT THEME
แรงงานสหรัฐแกร่ง
-ECB คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำตามเดิม : วานนี้การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม ได้แก่ 1) คงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% 2) คงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% และ 3) คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
-ECB มีโอกาสเพิ่มวงเงินกระตุ้นมากขึ้นใน 2Q64 : นอกจากนี้ ECB มีมติคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโร โดยจะซื้อพันธบัตรตามโครงการดังกล่าวจนถึงเดือน มี.ค.2565 แต่อย่างไรก็ดียังคงจับตาภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และมีโอกาสที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรใน 2Q64 เพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประเด็นดังกล่าวถือเป็นภาพบวกต่อแรงเก็งสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มเติม
- ภาคแรงงานสหรัฐฯฟื้นต่อเนื่อง : วานนี้ทางฝั่งสหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์พบว่า อยู่ที่ระดับ 7.12 แสนราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 7.45 แสนราย และต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 7.25 แสนราย สะท้อนภาคแรงงานสหรัฐฯมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯในภาพใหญ่
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,575.13 +2.08
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 11 มี.ค. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน 1,694.97
บัญชี บล. 134.18
ต่างชาติ -579.45
ในประเทศ -1,249.70
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งผันผวน โดยปรับตัวขึ้นช่วงแรกตอบรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร US ที่ลดความผันผวน แต่ก็มีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างในภาคบ่าย โดย SET ปิดที่ 1,575.13 (+2.08 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.02 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.08 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 579 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,695 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 11,426 สัญญา)
EYES ON
12 มี.ค. ดัชนี PPI ของสหรัฐ (ก.พ.), ดัชนีความเชื่อมั่นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ของสหรัฐฯ (มี.ค.), ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยูโรโซน (ม.ค.)
Diamond Building (DRT)
ปี 2564 จะกลับมาเติบโตเล็กน้อย
BUY
Share Price THB 6.10
12m Price Target THB 7.00 (+15%)
Previous Price Target THB 7.00
ประเด็นการลงทุน
ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้จะเติบโต 5% มีอัตรากำไรขั้นต้น 27-29% เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ตามสโลแกน “สวยครบเซตตราเพชรทั้งหลัง” ผลของการซื้อหุ้นคืนจะทำให้กำไรต่อหุ้นเติบโตได้ 13% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี2564 ต่ำ 9.1 เท่า คาดปีนี้ปันผลเพิ่มเป็น 0.48 บาทต่อหุ้น มีอัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2564 ที่ดี 7.8% ประเมินราคาเป้าหมาย 7 บาท ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ย Forward PE 10 ปีเท่ากับ 12.5 เท่า คงแนะนำ ซื้อลงทุนรับปันผล
ตั้งเป้าหมายยอดขายจะโต 5% เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์
DRT ได้จัดงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนเมื่อวาน (11 มี.ค.) ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้จะเติบโต 5% มีอัตรากำไรขั้นต้น 27-29% กำลังการผลิตใหม่ผลิตภัณฑ์กลุ่มไม้สังเคราะห์ NT11 กำลังการผลิต 55,000 ตัน จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตอีก 5% ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่ต้นปี 2564 จะเข้ามาช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในไลน์การผลิตสินค้าทดแทนไม้ มีความหลากหลายด้านขนาดผลิตภัณฑ์ตอบสนองความผู้บริโภค และ ได้เปิดตัว "Diamond Studio" บ้านน็อกดาวน์สำเร็จรูปต้นแบบ โดยใช้ผลิตภัณฑ์ของตราเพชร ที่มีความหลากหลายด้านผลิตภัณฑ์ ตามสโลแกน “สวยครบเซตตราเพชรทั้งหลัง” จะช่วยขยายฐานลูกค้าสร้างบ้านสำเร็จรูป และปรับปรุงบ้าน
ปีนี้ประเมินยอดขายจะโต 4% แต่กำไรต่อหุ้นจะเติบโตได้ 13%
ผลประกอบการไตรมาส 1Q64 มีแนวโน้มจะฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ชะลอตัวในครึ่งหลังปีก่อน จากตัวเลขเดือน ม.ค.-ก.พ. เริ่มมีการเติบโต และเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้จะโต 5% เราคงประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมประเมินยอดขายปี 2564 เท่ากับ 4,565 ล้านบาท เติบโต 4% และ มีกำไร 569 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 2% แต่ผลของการซื้อหุ้นคืนทำให้จำนวนหุ้นลดลง 10% จะทำให้กำไรต่อหุ้นเติบโตได้ 13%
ปีนี้ลงทุนไม่มาก คาดจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น
ปีนี้ DRT ใช้เงินลงทุนไม่มากประมาณ 200-300 ล้านบาท รองรับการปรับปรุงเครื่องจักร มีเป้าหมายยกระดับโรงงานสู่ Smart Factory มีการใช้ทยอยใช้โรบอตในไลน์การผลิตอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนหุ้นลดลงทำให้กำไรต่อหุ้นเติบโตดี คาดปีนี้จะปันผลเพิ่มเป็น 0.48 บาท คิดเป็น อัตราเงินปันผลตอบแทน 7.8% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ปันผล 0.42 บาท เราประเมินราคาเป้าหมาย 7 บาท ให้ส่วนลดจากค่าเฉลี่ย Forward PE 10 ปีเท่ากับ 12.5 เท่า คงแนะนำ ซื้อลงทุน
ความเสี่ยง : ต้นทุนวัตถุดิบและพลังงาน , ประเด็นเรื่องใยหินจะห้ามในอนาคต
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Dynasty Ceramic (DCC)
กำไร 1Q64 จะสูงสุดใหม่ หุ้นปันผลดี
BUY
Share Price THB 2.30
12m Price Target THB 3.18 (+38%)
Previous Price Target THB 3.18
ประเด็นการลงทุน
คาด 1Q64 ผลประกอบการมีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่ ปี 2564 คาดจะเติบโตต่อแรงหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับราคาขึ้น ชดเชยต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น เสริมด้วยรายได้ค่าเช่า คาดกำไร 1,630 ล้านบาท เติบโต 3% เราคาดปีนี้จะเพิ่มเงินปันผลเป็น 100% ของกำไร หลังวอร์แรนท์ที่เหลือครบกำหนดใช้สิทธิ คาดจ่ายปันผล 0.18 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 7.8% คงแนะนำ ซื้อลงทุน เป้าหมาย 3.18 บาท
กำไร1Q64มีแนวโน้มจะทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง
ยอดขายของ DCC ใน เดือน ม.ค.-ก.พ. กลับมาเติบโตดี 10% และ ช่วงแรกของเดือน มี.ค. ก็โตมากกว่า 10% แม้ต้นทุนก๊าซใน 1Q64 จะปรับขึ้นประมาณ 5% (ต้นทุนก๊าซคิดเป็น 35% ของต้นทุน) แต่ DCC ก็มีการปรับราคาขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ก.พ. ประมาณ 2-5 บาท/ตรม. (2%-4%) บวกกับการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะดีขึ้น ทำให้เบื้องต้นคาด 1Q64 จะมียอดขายเติบโตได้ดี 2,394 ล้านบาท (+27%QoQ, +10%YoY) มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น 42.7% จาก 41.8% ในไตรมาสก่อน และจาก 39.5% ในปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่เติบโตโดดเด่น ทำสถิติสูงสุดได้ใหม่ประมาณ 460 ล้านบาท (+27%QoQ, +25%YoY)
แนวโน้มปี 2564 จะเติบโตต่อ ประมาณการของเรามีอัพไซด์
DCC ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ลวดลายสวยงาม ทดแทนการนำเข้า ซึ่งมีกำไรดี เช่น กระเบื้องปูพื้นขนาด 60x120 ซม. , 80x80 ซม. 40x80 ซม ได้รับการตอบรับอย่างดี เติบโตสูง ผู้บริหาร DCC ตั้งเป้าหมายปี 2564 ยอดขายจะโต 5-10% สำหรับประมาณการของเราคาดจะเติบโตเล็กน้อย 3% ปีนี้แม้ว่าต้นทุนก๊าซจะปรับสูงขึ้น แต่การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และ ปรับราคาขึ้น จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสามารถรักษาระดับได้ประมาณ 42% สำหรับศูนย์รวมวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างหลากหลาย ปี 2563 มีพื้นที่ให้เช่ารวม 80,000 ตรม. มีรายได้ค่าเช่าประมาณ 60 ล้านบาท คาดปี 2564 จะเพิ่มเป็น 85-100 ล้านบาท เราประเมินยอดขายในปี 2564 เท่ากับ 8,754 ล้านบาท โต 3.0% และ คาดจะมีกำไรเท่ากับ 1,630 ล้านบาท เติบโต 3% ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อ
หุ้นปันผลดี ปันผล100%ของกำไร
ปี 2564 วอร์แรนท์จะครบกำหนดเดือน พ.ค. คาดจะมีการใช้สิทธิส่วนที่เหลืออีก 940 ล้านหุ้น จะได้เงินเข้ามา 1,081 ล้านบาท เราคาดจะเพิ่มปันผลเป็น 100% ของกำไร หรือ เท่ากับ 0.18 บาทต่อหุ้น มีเงินปันผลตอบแทน 7.8% คงแนะนำ ซื้อลงทุน ประเมินราคาเป้าหมาย 3.18 บาท บนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปีของ Dividend Yield – 1SD = 5%
ความเสี่ยง : ความไม่แน่นอนของภาพเศรษบกิจรวม / ต้นทุนพลังงานและค่าขนส่ง
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Chularat Hospital (CHG TB)
เติบโตด้วยการบริหารโรงพยาบาลใหม่
BUY
Share Price THB 2.80
12m Price Target THB 3.25 (+16%)
Previous Price Target THB 2.85
เพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ เพิ่ม TP เป็น 3.25 บาท
เราปรับเพิ่ม TP เป็น 3.25 บาทและอัปเกรดคำแนะนำเป็น BUY หลังจากเพิ่มคาดการณ์ EPS ปี 64 และปี 65 ขึ้น 10% และ 12% จากเป้าหมายใหม่ที่รวมธุรกิจบริหารโรงพยาบาลใหม่ซึ่งน่าจะเพิ่มรายได้ประมาณ 5% จากประมาณการก่อนหน้านี้ (320 ล้านบาท) นอกจากนี้ เรายังเพิ่มอัตรากำไร EBITDA ใน 64 เป็น 27.2% (จาก 26.6% จากประมาณการก่อนหน้านี้) และเป็น 27.4% (จาก 26.9%) ในปี 65 เนื่องจากธุรกิจบริหารโรงพยาบาลสามารถทำกำไร EBITDA ได้ดีขึ้น ส่งผลให้ EPS เติบโตแข็งแกร่งที่ 14.8% ในปี 64 และ 9.3% ในปี 65
บริหารโรงพยาบาลของรัฐ 3 แห่งในปี 64
CHG เริ่มบริหารโรงพยาบาลของรัฐตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 และเพิ่มอีก 1 แห่งในไตรมาส 1/64 รวมทั้งศูนย์หัวใจอีก 1 แห่งในเดือนพฤษภาคม 2564 เราประเมินโรงพยาบาล 3 แห่ง (ในพัทยา เกาะล้านและศูนย์หัวใจสิรินธร) น่าจะมีรายได้ 320 ล้านบาทในปีนี้ ผู้บริหารระบุว่าอายุสัญญา 2-3 ปีและสามารถต่ออายุได้ โดยยังต้องว่าจ้างทีมงาน (รวมทั้งแพทย์) เพื่อบริหารจัดการโรงพยาบาลทั้งสองแห่ง หากประสบความสำเร็จก็อาจทำธุรกิจนี้ได้มากขึ้นในอนาคต
ได้อานิสงส์จากการฉีดวัคซีนจำนวนมาก
เราเชื่อว่าโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง รวมถึง CHG อาจได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน Covid เนื่องจากรัฐบาลอาจอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชนนำเข้าและฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยได้ จึงทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้ โรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยประกันสังคมอย่าง CHG อาจได้รับประโยชน์จากโครงการฉีดวัคซีนจำนวนมากของรัฐบาล เนื่องจากอาจมีการจ้างโรงพยาบาลที่ให้บริการผู้ป่วยประกันสังคมในการฉีดวัคซีนจำนวนมากเพื่อความรวดเร็วและขนาดที่จำเป็นในการเปิดพรมแดนอย่างรวดเร็ว เราได้เห็นแล้วจากการตรวจหา Covid ซึ่งสมาชิกประกันสังคมสามารถรับการตรวจได้ฟรีที่โรงพยาบาลที่สมัครไว้และโรงพยาบาลจะได้รับเงินคืนจากรัฐบาลจำนวน 2,300 บาทสำหรับการตรวจ ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในทั้งสองกรณีถือเป็นอัพไซด์ และเรายังไม่ได้นำมาพิจารณาในประมาณการของเรา
ราคาหุ้นซื้อขายที่ P / E ปี 65 ที่ 27.8 เท่า
เราประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC 7. %, LTG 3%) เราชอบการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจากการบริหารโรงพยาบาลใหม่ในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นเชิงบวกต่อราคาหุ้น ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฉีดวัคซีนในประเทศไทยช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้ป่วยเข้ารับบริการในโรงพยาบาลเนื่องจากการเว้นระยะห่างทางสังคม
Yuwanee Prommaporn
(66) 2658 5000 ext 1393
Sabina (SABINA)
อาจกลับมาเติบโตได้ตั้งแต่ 1Q64
BUY
Share Price THB 21.70
12m Price Target THB 24.00 (+11%)
Previous Price Target THB 25.00
ประเด็นการลงทุน
แม้ปรับลดประมาณการ แต่คาดว่ากำไรปีนี้ยังเติบโต 27% จากทั้งยอดขายและอัตรากำไรฟื้นตัวหลังจากโควิดคลี่คลายลง อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น อีกทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายด้านพนักงานให้ลดลง เราคาดว่ากำไรสุทธิมีโอกาสกลับมาเติบโต YoY ได้ตั้งแต่ 1Q64 เป็นต้นไป ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่ง ทำให้มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลได้ 100% ของกำไร คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4-5% เราคงคำแนะนำ ซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมาย (DCF) เป็น 24 บาท จากเดิมที่ 25 บาท
ปรับลดประมาณการ แต่กำไรยังฟื้นตัว 27%
เราปรับลดประมาณการกำไรปีนี้ลง 12% จากผลกระทบของโควิดรอบ 2 ทำให้ยอดขายฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด อย่างไรก็ดี ยอดขายจะค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้นจากการที่โควิด-19คลี่คลายลง และการทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เราประเมินว่ายอดขายปีนี้ฟื้นตัว 13% (เทียบกับเป้าหมายบริษัทที่ 15%) และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 27% โดยอัตรากำไรสุทธิเพิ่มจาก 9.5% ในปี 2563 เป็น 10.7% ในด้านฐานะการเงินยังคงแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.1 เท่า ทำให้คาดว่า SABINA ยังคงจ่ายเงินปันผล 100% ของกำไร
ยอดขายฟื้นตัวทั้งทางหน้าร้าน และออนไลน์
ยอดขายทางหน้าร้านปีนี้คาดว่าฟื้นตัว 11% หลังจากการระบาดของโควิด-19 คลี่คลาย และการออกสินค้าใหม่ ขณะที่ยอดขายทาง NSR คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 20% แม้มีการเติบโตสูงมาต่อเนื่อง ทำให้มีสัดส่วนเพิ่มจาก 4% ของยอดขายในปี 2560 มาเป็น 19% ในปี 2563 โดยมีช่องทางขายหลักทาง Marketplace คือ Lazada และ Shopee ซึ่งเติบโตได้ดี และ SABINA ยังเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดในแคมเปญ 11.11 และ 12.12 ของกลุ่มแฟชั่น ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะเวียดนาม
แนวโน้มอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50.7% จาก 47.4% ในปี 2563 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตชุดชั้นในเพิ่มขึ้นตามยอดขายที่ฟื้นตัว อีกทั้งลดการผลิตหน้ากากผ้าซึ่งมีอัตรากำไรต่ำกว่า ส่วนการจ้างผลิตสินค้าจากจีนยังคงมีอัตรากำไรสูง เนื่องจาก SABINA เป็นลูกค้ารายใหญ่จึงสามารถต่อรองกับผู้ผลิตในจีนได้ดี นอกจากนั้น ต้นทุนพนักงานลดลงจากการที่จำนวนพนักงานลดลงเกือบ 600 คนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
ความเสี่ยง: โควิด-19 ขยายวงกว้าง เศรษฐกิจชะลอ ต้นทุนผลิตสูงขึ้น ปัญหาการนำเข้าสินค้า
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web