- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 18 February 2021 23:09
- Hits: 11361
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 18-2-2021
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,514.91 -8.20
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 17 ก.พ. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน 538.48
บัญชี บล. -115.85
ต่างชาติ -1,645.95
ในประเทศ 1,223.32
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ย่อตัว โดยตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ ด้าน SET ปิดที่ 1,514.91 (-8.20 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 9.6 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.8 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 1,646 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 538 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 9,962 สัญญา)
STOCK PICKS & TRADING IDEA
DOHOME (เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 18 บาท) รายงานกำไรสุทธิ 4Q63 ที่ 215 ล้านบาท (+15%QoQ, +41%YoY) ดีกว่าตลาดคาด 8% โดยอัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น และคาดแนวโน้มยังเด่นใน 1Q64 จาก SSSG เดือน ม.ค. ราว +20% และ เดือน ก.พ. (ครึ่งเดือน) +เกิน 15% ผลบวกจากราคาข้าวและราคาเหล็กเพิ่มขึ้น
INVESTMENT THEME
FED ยังเน้นนโยบายผ่อนคลายกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้น : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด นำโดย ยอดค้าปลีกของ US เดือนมกราคม ขยายตัวโดดเด่น +5.3%MoM จากเดือนก่อนที่ -0.7%MoM และดีกว่าที่ตลาดคาดที่ +1.1%MoM รวมถึงดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US ขยายตัว +0.9%MoM ดีกว่าที่ตลาดคาดที่ +0.4%MoM ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างชัดเจน สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีของ US ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งมีโอกาสกลับไปสู่ระดับก่อน COVID-19 ที่ 1.5% ในระยะกลาง โดยการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วนี้จะส่งผลให้ทิศทางเงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวเช่นกัน และอาจทำให้ตลาดเกิดความกังวลในระยะสั้นต่อต้นทุนทางการเงินที่จะขยับขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเราเชื่อว่าต้นทุนการเงินจะไม่รีบขยับขึ้น สอดคล้องกับการรายงานผลการประชุม FED ในรอบที่ผ่านมาที่ FED ยังพยายามใช้มาตรการผ่อนคลายเพื่อฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯให้กลับมาขยายตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นภาพของการพักฐานสั้นในช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสในการตั้งรับหุ้นในกลุ่มที่อิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่น พลังงาน (PTTEP, TOP), ธนาคาร (KBANK) และ อิเล็กทรอนิกส์ (KCE) เพื่อรอเศรษฐกิจฟื้นในช่วงถัดไป
Investment Strategy : วันนี้คาด SET ฟื้นตัว แนวรับ 1,500 จุด และแนวต้าน 1,530 จุด เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรขยายตัวเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “DOHOME, TOP”
Eastern Polymer Group (EPG)
แนวโน้มจะเติบโตต่อเนื่อง
BUY
Share Price THB 9.50
12m Price Target THB 11.00 (+16%)
Previous Price Target THB 11.00
ประเด็นการลงทุน
ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการปีนี้และปีหน้า แนวโน้มเติบโตทั้งสามธุรกิจ คือ AeroFlex, AeroKlas และ EPP พร้อมประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น ลดค่าใช้จ่าย และ JV มีกำไรดีขึ้น ทำให้กำไรเติบโตสูงกว่ายอดขาย เราคาดกำไรสุทธิ ปี 2564/65-2565/66 จะเติบโตเฉลี่ย 14%CAGR สู่ระดับ 1,476 ล้านบาท เราคงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเป้าหมายด้วยวิธี DCF (WACC 8%, LTG 3%) ได้เท่ากับ 11 บาท
ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการปีนี้และปีหน้า
ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกแนวโน้มผลประกอบการปี 2563/64 (เม.ย.63 - มี.ค. 64) และ ปี 2564/65 (เม.ย. 64 – มี.ค. 65) ซึ่งแนวโน้มปี 2563/64 เดิมตั้งเป้าหมายยอดขายจะติดลบ 10-12% และ มีอัตรากำไรขั้นต้น 28-30% แต่หลังจากผ่าน 9 เดือน ปี 2563/64 ผู้บริหารประเมินยอดขายจะติดลบน้อยกว่า 10-12% และ อัตรากำไรขั้นต้นจะมากกว่า 30% สำหรับแนวโน้มปี 2564/65 ผู้บริหารประเมินยอดขายจะกลับไประดับเดียวกับปี 2562/63 หรือ จะเติบโตประมาณ 10% ในขณะที่กำไรจะเติบโตมากกว่าจากการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ JV ในต่างประเทศก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตดีขึ้น
แนวโน้มเติบโตทั้งสามธุรกิจ
ธุรกิจของ EPG ทั้งสามธุรกิจ มีแนวโน้มจะเติบโต คือ 1) ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น (AeroFlex) ได้แรงบวกจากตลาดสหรัฐฯซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 40% ขยายกำลังการผลิตเพิ่มเท่าตัว รองรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านเหรียญ 2) ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ (AeroKlas) ได้แรงบวกจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในและต่างประเทศฟื้นตัว TJM จะฟื้นตัวจนมีกำไรดี 3) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก (EPP) ได้แรงบวกจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอาหารและเครื่องดื่มมีการเติบโตดี และ ล่าสุด ครม. มีมติ ยกเลิกการใช้แก้วพลาสติกบาง ความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน ในปี 2565 ทำให้ EPP จะได้รับประโยชน์ เพราะ มีสัดส่วนเกิน 100 ไมครอนถึง 95% ในขณะที่คู่แข่งขันรายย่อยที่ผลิตแก้วน้ำพลาสติกบาง ขนาด 60-90 ไมครอน ซึ่งมีราคาถูก จะได้รับผลกระทบโดยตรง
คาดกำไรปี 2563/64 และ ปี 2564/65 จะเติบโต
สำหรับประมาณการของเราคาดยอดขายปี 2563/64 จะเท่ากับ 9,485 ล้านบาท ติดลบ 7% แต่กำไรสามารถเติบโตได้16% สู่ระดับ 1,167 ล้านบาท แนวโน้มปี 2564/65 คาดยอดขายจะเติบโต 10% และ มีกำไรสุทธิ 1,319 ล้านบาท เติบโต 13% โดยกำไรเติบโตดีกว่ายอดขายจาก อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน รวมถึงลดค่าใช้จ่าย รวมถึง JV ที่มีกำไรเติบโตดีขึ้น ซึ่งประมาณการของเรามีอัพไซด์
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Sri Trang Gloves (Thailand) (STGT)
ปี 63 ที่ยอดเยี่ยม และคาดหวังได้ปี 64
BUY
Share Price THB 39.75
12m Price Target THB 50.00
Previous Price Target THB 50.00
Company Update
โมเมนตัมกำไรแข็งแกร่ง และยาวนาน ปี 2564 จะยังเติบโต และให้ปันผลสูง
STGT รายงานผลประกอบการไตรมาส 4/63 สูงกว่าคาดการณ์ของเรา 33% ทำให้ในภาพปี 2563 กำไรสูงกว่าประมาณการของเราไปเช่นกัน 19.6% ขณะที่ปริมาณการขายงวดปี 2563 ก็สามารถทำได้ตามประมาณการ 27,965 ล้านชิ้น และ ราคาขายเฉลี่ยที่ 34.9 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ส่วนในปี 2564 ผู้บริหารเผยแนวโน้มราคาขายยังอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ดี เพื่อความอนุรักษ์นิยม เรายังคงใช้สมมติฐานราคาขายเฉลี่ย 53 เหรียญ/ 1000 ชิ้น เนื่องจากเรายังให้น้ำหนักประเด็นการชะลอตัวของอุปสงค์ในครึ่งปีหลัง เมื่อการฉีดวัคซีนทยอยทำได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี หาก STGT รักษาราคาขายเฉลี่ยนี้ได้ตลอดปี 2564 นั่นหมายความว่าประมาณการของเราอาจต่ำไปได้เช่นกัน เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 50.00 บาท อิง P/E 5.7 เท่า ตามค่าเฉลี่ยกลุ่ม ซึ่งหากตรึงนโยบายปันผลตามนโยบายใหม่ 50% เราคาดการณ์ว่า STGT จะจ่ายปันผลได้ 11% และให้ภาพการเติบโต ไปพร้อมๆกับการเป็นหุ้นปันผลไปในตัว
ไตรมาส 4/63 และ ปี 2563 เอาชนะประมาณการของเราได้ ด้วยราคาขายที่สูง
STGT รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 4/63 ที่ 8.5 พัน ลบ. ขยายตัว +93.6% QoQ และ โต 4 เท่าตัวจากปีก่อน โดยปริมาณการขายทำได้ที่ 7,163 ล้านชิ้น ใกล้เคียงกับคาด แต่ทว่าราคาขายพุ่งขึ้นสูงกว่ามากเป็น 62.2 เหรียญ/ 1000 ชิ้น เทียบกับไตรมาส 3/63 ที่ 36.3 เหรียญ/ 1000 ชิ้น เนื่องจากสัดส่วนยอดขายถุงมือยางแบบสังเคราะห์ (Nitrile gloves) ได้เพิ่มสัดส่วนเป็น 45% ของยอดขายรวม จาก 38% ในไตรมาส 3/63 ขณะที่ถุงมือ Nitrile นี้ มีราคาสูงกว่าถุงมือยางธรรมชาติราวๆ 30-40% นอกจากนั้นสัดส่วนการขายบางส่วนให้กำหนดราคาแบบ CIF เนื่องจาก STGT พยายามช่วยเหลือลูกค้าในการขายสินค้าให้เร็วขึ้น นั่นจึงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นพุ่งแตะ 71.6% จาก 60.3% ในไตรมาส 3/63 แม้ว่าในภาพรวมปี 2563 ต้นทุนน้ำยางธรรมชาติจะดีดตัวขึ้น 16.6% YoY ก็ตาม
การขาดแคลนตู้สินค้าทำให้ค่าใช้เพิ่มขึ้น แต่ราคาขายก็เพิ่ม
โดยปกติแล้ว STGT ขายในแบบ FOB แต่ทว่าปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้า ทำให้ STGT ต้องช่วยลูกค้าในฝั่งอเมริกา และ ยุโรป ด้วยการปรับมากำหนดราคาขายแบบ CIF นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร เพิ่มขึ้น +207.3% QoQ และ +178.1% YoY แต่ว่าก็เป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีผลต่อความสามารถในการทำกำไรนักในสถานะการณ์นี้ โดย EBITDA ยังคงขยายตัว +92% QoQ และ 3 เท่าจากปีก่อน
ปริมาณขายที่แข็งแกร่ง และยังมีแนวโน้มราคาขายที่สูงในปี 2564
STGT ตั้งเป้าขายประมาณ 33,000 ล้านชิ้น หรือ +18% YoY จากกำลังการผลิตใหม่ +10% และ สินค้าที่รอจัดส่ง โดยปัจจุบันออร์เดอร์ล่วงหน้าถุงมือยางยาวไปถึงไตรมาส 1/65 ส่วนถุงมือยางแบบสังเคราะห์ยาวไปถึง ไตรมาส 3/66 ขณะที่ราคาขายจะเคลื่อนไหวไปตามการเจรจาต่อรอง แต่ในเบื้องต้น ผบห.เผยว่าแนวโน้มราคาจะเพิ่มอีก 20% QoQ ในไตรมาส 1/64 จาก 4Q63 ที่ 62 เหรียญ/ 1000 ชิ้น ขณะที่เราประมาณการทั้งปีไว้ที่ 53 เหรียญ/ 1000 ชิ้น
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
Muangthai Capital PCL (MTC TB)
สินเชื่อเช่าซื้อ สู่ระยะเติบโต
BUY
Share Price THB 65.25
12m Price Target THB 77.00 (+18%)
Previous Price Target THB 77.00
เร่งธุรกิจเช่าซื้อ ชดเชยผลตอบแทนสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ลดลง
เราเชื่อว่า MTC สามารถขยายสินเชื่อ HP เพื่อชดเชยอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ลดลงในระยะยาว MTC จะเสนอเงินกู้ HP ให้กับลูกค้าปัจจุบันที่มีประวัติการชำระเงินที่ดี โดยบริษัทมีสินเชื่อรถจักรยานยนต์ 1.4 ล้านคันในพอร์ตและ 70% ของยอดรวมเป็นรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 7 ปี คงคำแนะนำ ซื้อ และ TP 77 บาท (P / BV ปี 64 ที่ 6.3 เท่า P / E 26.7 เท่า และ LT ROE 25.9%) ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ การเติบโตของสินเชื่อ NIM และคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนแอกว่าคาด MTC ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.37 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 15% (ไม่รวมเงินปันผลเมื่อวันที่ 29 เมษายน)
ตั้งเป้าขยายสินเชื่อเช่าซื้อเติบโต 5 พันล้านบาทในปี 64
ในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ CEO ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อ 20-25% และวางแผนที่จะขยายสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็น 5 พันล้านบาทในปี 2564 จาก 360 ล้านบาทในปี 63 MTC ได้เสนอสัญญาเช่าซื้อใหม่ 6,000 รายในปีนี้ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเท่ากับสัญญาทั้งหมดในปี 63 จากความต้องการสินเชื่อที่แข็งแกร่ง ผู้บริหารตั้งเป้าหมายที่จะเสนอ 10,000 สัญญาต่อเดือน (2 สัญญาต่อสาขา) ตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เป็นต้นไป ทั้งนี้ MTC ได้เพิ่มทุนเมืองไทยลิสซิ่งเป็น 1 พันล้านบาทจาก 500 ล้านบาทเพื่อขยายสินเชื่อ HP
NIM หดตัวต่อ แต่ไม่กังวลเรื่องคุณภาพหนี้
แม้ว่าเราคาดว่าต้นทุนของกองทุนจะลดลง 18bp YoY เป็น 3.5% ในปี 64 แต่ NIM คาดหดตัว 25bp YoY เป็น 18.25% เนื่องจาก MTC ได้ลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บสำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์เหลือ 18% (จาก 19% ในเดือนธันวาคม 63) เราไม่ค่อยกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์เนื่องจาก MTC มุ่งเน้นไปที่ลูกค้าในภาคเกษตรซึ่งจะได้รับประโยชน์จากรายได้เกษตรกรที่สูงขึ้นและการแจกจ่ายเงินสดของรัฐบาล เราคาดการณ์ NPL Ratio จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนที่ 1.1% และมีต้นทุนเครดิต 60bps ในปี 2564
คงประมาณการกำไรต่อหุ้นเติบโต 17-18% ในปี 64-65
เราคาดว่า MTC จะขยายพอร์ตสินเชื่อและเพิ่มประสิทธิภาพสาขาเพื่อชดเชยการลดลงของอัตราผลตอบแทนสินเชื่อ ผู้บริหารวางแผนที่จะเพิ่มสินเชื่อ HP สำหรับรถจักรยานยนต์ (อัตราผลตอบแทนเงินกู้ 24%) เพื่อชดเชยอัตราผลตอบแทนของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่ลดลง (18%) เราคาดว่าสินเชื่อ HP คิดเป็น 3.6% ของบัญชีเงินกู้ (หรือ 3 พันล้านบาท) ในปี 64 เทียบกับ 0.5% ในปี 63 บนสมมติฐาน 5% ของลูกค้าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่มีอยู่เปลี่ยนมาใช้สินเชื่อ HP โดยมีขนาดสินเชื่อเฉลี่ย 50,000 บาท
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
PTT Global Chemical (PTTGC TB)
งบ 4Q63 แข็งแกร่ง ดีต่อเนื่องในปี 64
BUY
Share Price THB 65.50
12m Price Target THB 75.00 (+15%)
Previous Price Target THB 75.00
คงคำแนะนำ ซื้อ หุ้นเด่นสุดในกลุ่ม
ผลประกอบการ 4Q63 เซอร์ไพรส์ตลาดในแง่อัพไซด์ เราเชื่อว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของกำไรที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่ง PTTGC ยังคงเป็นหนึ่งในหุ้นที่เราชอบในกลุ่มนี้ ไม่เพียงแต่มีฐานะทางการเงินที่ดี แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยหนุนในปี 64 ได้แก่ 1) ผลกระทบจากน้ำมันดิบน้อย เนื่องจากใช้วัตถุดิบก๊าซ (ไม่เหมือนบริษัทที่ใช้แนฟทาซึ่งสเปรดเริ่มลดลง อัตรากำไรของ PTTGC ประคองตัวได้แม้ราคาน้ำมันดิบยังคงสูง) 2 ) IHS Markit ประมาณการอุปสงค์ PE จะปรับตัวดีขึ้นราว 4 ล้านตัน ในปี 64 และสมดุลอุปสงค์ / อุปทานคาดดีขึ้น YoY 3) มีอัพไซด์จาก M&A 4) รายได้จากโครงการ Olefin retrofit และ PO / Polyol จะสะท้อนให้เห็นตั้งแต่ไตรมาส 1/64 คงคำแนะนำ ซื้อ TP 75 บาท ( P / B ที่ 1.2 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในอดีต)
กำไรหลัก 4Q63 พุ่ง
กำไรสุทธิหลังหักภาษี ไตรมาส 4/63 อยู่ที่ 6.4 พันล้านบาท (605% QoQ, 1613% YoY) ตามที่เราคาด แต่สูงกว่าตลาดคาด 25% ขณะที่ EBITDA ไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้น 52% QoQ เป็น 9.5 พันล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของโอเลฟินส์ 37% และเคมีภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงที่เติบโต 111% โดยโอเลฟินส์ได้รับแรงหนุนจากราคา PE ที่เพิ่มขึ้น 23% ในขณะที่ค่าสเปรด Bisphenol (BPA) -benzene เพิ่มขึ้น 72% จากความต้องการน้ำยาฆ่าเชื้อที่เป็นของแข็ง อัตราการใช้กำลังการผลิตฟีนอลอยู่ที่ 120% ค่าการกลั่นตลาดปรับตัวดีขึ้น 0.52 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรลเป็น 1.78 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล (จุดคุ้มทุน) แต่มีผลขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง 542 ล้านบาท PTTGC สามารถเปลี่ยนการผลิตน้ำมันเครื่องบินเป็นน้ำมันดีเซลได้ (ผลตอบแทน 65%)
เริ่มต้นปี 64 ด้วยการเติบโตที่แข็งแกร่ง
ผู้บริหารมีมุมมองที่ดีมากต่อกลุ่มโอเลฟินส์ในปี 64 และคาดว่าอัตรากำไร EBITDA จะคงรักษาระดับไว้ที่ 20-23% (ไตรมาส 4/63) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้น อัตรากำไร EBITDA ของ Olefin ผ่านจุดต่ำสุดที่ 11% ใน 2Q63 เราคาดว่าราคา PE ปี 64 จะเฉลี่ยที่ 1,050 เหรียญสหรัฐ / ตัน (20% YoY) ราคาวัตถุดิบก๊าซของ PTTGC เชื่อมโยงกับราคา PE บางส่วน แต่ยังล่าช้า เราประเมิน EBITDA Olefin ดีขึ้น 21% YoY โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจการกลั่น สถานะทางการเงินของ PTTGC ยังคงดีที่สุดในกลุ่ม โดยมีอัตราส่วนหนี้/เงินสดสุทธิ 0.3 เท่าและเงินสดในมือ 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน 5 ปีจำกัดไว้ที่ 650 ล้านบาท เราเห็นว่า M&A มีความเสี่ยงสูงในปีนี้ PTTGC เน้นสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูงขั้นปลายซึ่งให้บริการด้านยานยนต์ การบินและการเคลือบสี บริษัทกำลังเจรจากับพันธมิตรสำหรับการร่วมทุนในโครงการ Ohio Cracker
หนาวจัดเสี่ยงซ้ำรอยเหตุสุดวิสัยของสหรัฐฯ
สภาพอากาศที่รุนแรงทำให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในชายฝั่งอ่าวสหรัฐหยุดชะงัก (45% และ 70% ของกำลังการกลั่นและโอเลฟินของสหรัฐฯ) โรงงานหลายแห่งหยุดการผลิตเพื่อความปลอดภัย ตลาดคาดว่าจะกลับมาผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ ความเสี่ยงต่อเหตุสุดวิสัยสำหรับโรงงานเคมีของสหรัฐพบครั้งสุดท้ายในฤดูพายุเฮอริเคนไตรมาส 3/63 ซึ่งส่งผลให้ราคา PE พุ่งขึ้น 20% เป็น 1,070 เหรียญสหรัฐต่อตัน เนื่องจากการส่งออกของสหรัฐไปยังเอเชียชะลอตัว สภาพอากาศที่เลวร้ายส่งผลให้บ่อน้ำมันและก๊าซหลายแห่งของสหรัฐหยุดชะงัก ซึ่งทำให้ราคาก๊าซในภูมิภาคสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐฯ คาดว่าราคา PE จะมีแนวโน้มสูงขึ้น 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าซึ่งเป็นบวกต่อ PTTGC
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web