- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 01 February 2021 15:19
- Hits: 10047
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 1-2-2021
กลยุทธ์การลงทุน
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,466.98 -1.53
สรุปมูลค่าการซื้อขาย
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน -1,147.23
บัญชี บล. -383.83
ต่างชาติ -3,360.66
ในประเทศ 4,891.72
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET ปรับฐาน โดยตลาดยังคงเผชิญกับแรงขายของนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ โดย SET ปิดที่ 1,466.98 (-1.53 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 9.6 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.2 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 3,361 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 1,147 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 14,136 สัญญา)
STOCKPICKS & TRADING IDEA
AP (ราคาเป้าหมาย 8.26 บาท) คาดกำไรปี 64 จะยังทรงตัวในระดับสูงได้ต่อเนื่อง ขณะที่ Valuation อยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรดเพียง PE 6 เท่าและ PBV 0.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าอุตสาหกรรมแม้จะเป็นเจ้าตลาดอสังหาฯ ผสานกับปันผลที่อยู่ในระดับสูงถึง 5.7% (จ่ายปีละครั้ง) เพิ่มความน่าดึงดูดในการทยอยสะสม
INVESTMENT THEME
เน้นหุ้นปันผลสูง ฝ่าสถานการณ์ตลาดผันผวน : ภาพรวมการลงทุนในระยะสั้นยังมีหลากหลายปัจจัยกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เช่น 1) ความล่าช้าต่อการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ US (American rescue plan) ให้ออกมาเป็นรูปธรรม 2) ราคาหุ้นหลายตัวในตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรป ที่ Hedge Fund มีการถือครองสถานะ Short สูง เช่น Gamestop, Blackberry, AMC Entertainment and Express มีการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนของ Hedge Fund หลายแห่งมีสถานะขาดทุนสูง จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อหุ้นอื่นที่อยู่ในพอร์ตถูกขายทำกำไรเพื่อเอามาช่วยชดเชยความเสี่ยงของสถานะถือครอง Short ข้างต้น เป็นปัจจัยลบต่อภาพการลงทุนในระยะสั้น 3) ความเสี่ยงที่ตลาดจะปรับลดคาดการณ์ GDP ของไทยลง หลังจากต้นปีไทยเกิดภาวะแพร่กระจายของ COVID-19 ในระลอกที่สอง ดังนั้นด้วยหลากหลายปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว จึงแนะเพิ่มความระมัดระวังในระยะสั้นมากยิ่งขึ้น โดยคาดหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลสูงและพื้นฐานแข็งแกร่ง จะเป็นหุ้นที่สามารถชนะตลาดได้ในช่วงนี้
Investment Strategy : วันนี้คาด SET แกว่ง sideway แนวรับ 1,450 จุด และแนวต้าน 1,480 จุด เน้นหุ้นปันผลสูงและพื้นฐานแข็งแกร่ง ATO Picks วันนี้แนะนำ “AP, JMART”
EYES ON
ปัจจัยต่างประเทศ : - 1 ก.พ. PMI & ISM ภาคการผลิตของ US, Eurozone (ม.ค.) - 2 ก.พ. ดัชนี 4Q63 GDP ของยูโรโซน
ปัจจัยในประเทศ : -1ก.พ. ดัชนี PMI ภาคการผลิต (ม.ค.) -3 ก.พ. การประชุม กนง. -5 ก.พ. ดัชนี CPI (ม.ค.) -การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
SET แนวรับ : 1459 / 1430
แนวต้าน 1480 / 1492
Kasikornbank (KBANK TB)
หุ้นเด่น กลุ่มแบงก์
BUY
Share Price THB 127.00
12m Price Target THB 160.00 (+26%)
Previous Price Target THB 160.00
ปีแห่งการสร้างรายได้และปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์
CEO เผยความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้าดีกว่าที่คาดไว้และพอใจกับคุณภาพสินทรัพย์ในปัจจุบัน เราประเมินผลประกอบการน่าจะดีขึ้นจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นพร้อมต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง หนุนการเติบโตของรายได้ในปี 2564-65 หุ้น KBANK ซื้อขายด้วยมูลค่าที่น่าสนใจที่ P/BV ปี 64 ที่ 0.64 เท่า คงคำแนะนำ ซื้อ ในฐานะหุ้นเด่น ราคาเป้าหมาย 160 บาท คิดเป็น P/BV ปี 64 ที่ 0.8 เท่า และ ROE 9.1% ความเสี่ยงหลัก คือ คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้
เป้าหมายทางการเงินปี 64 ตั้งเป้าเติบโตแรง
ในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา KBANK ได้ประกาศเป้าหมายทางการเงินประจำปี 64 ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 4-6% NIM 3.1-3.3% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ 44-46% การเติบโตของสินเชื่อคาดได้รับแรงหนุนจากสินเชื่อรายย่อย (เติบโต 11-13%) ขณะที่สินเชื่อธุรกิจคาดเติบโตที่ 1-4% ธนาคารคาดว่ารายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิจะเติบโตที่ 1-3% (เทียบกับที่เราคาดไว้ที่ -1%) หนุนโดยธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อที่เกี่ยวข้องและธุรกิจบริหารสินทรัพย์ในปี 2564 ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิหดตัว 4-10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา CEO ระบุว่าเป้าหมายทางการเงินทั้งหมดอิงการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ 2.6% ในปี 2564 และคาดว่า GDP ไทยจะกลับสู่ระดับก่อนโควิดในปี 2566
NPL เอาอยู่ ด้วยต้นทุนสินเชื่อที่ต่ำกว่า
KBANK รายงานผลประกอบการที่เติบโตกว่าคาดในไตรมาส 4/63 CEO ระบุว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่แย่ลงนั้นไม่รุนแรงอย่างที่คาดไว้และคาดว่าต้นทุนเครดิตจะลดลงที่ 160bps เทียบกับ 205bps ในปี 63 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 59 อัตราส่วน NPL คาดเพิ่มขึ้นเป็น 4.0-4.5% ในปี 64 จาก 3.93% ในปี 63 เป้าหมายทางการเงินใหม่สอดคล้องกับมุมมองของเราที่มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงในปี 64 เราเชื่อว่าสินเชื่อด้อยคุณภาพจะยังคงสามารถจัดการได้และเห็นผลกระทบที่จำกัดต่อระดับเงินทุน
คาดผลประกอบการเติบโต 8-11% ในปี 64-65
เราคงประมาณการณ์การเติบโตของกำไรที่ 8-11% ในปี 64-65 แต่คาดว่าตลาดจะปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ และธนาคารตั้งเป้ารายได้ค่าธรรมเนียมปรับตัวดีขึ้น เราคาดการณ์อย่างระมัดระวังว่าต้นทุนเครดิตจะลดลง 30bp YoY เป็น 175bp ในปี 64 การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของเราพบว่าทุก ๆ 5bp ที่ลดลงในต้นทุนเครดิตจะเพิ่มประมาณการกำไรของเรา 2.6% ในปี 64
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
PTT Global Chemical (PTTGC TB)
กำไรหลักไตรมาส 4/63 เติบโตแกร่ง
BUY
Share Price THB 59.00
12m Price Target THB 75.00 (+27%)
Previous Price Target THB 75.00
คงคำแนะนำ ซื้อ – กำไรเติบโตต่อเนื่อง
ราคาหุ้น PTTGC ปรับตัวลง 1% YTD ตามดัชนี SET ในมุมมองของเรา PTTGC เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แข็งแกร่งในธุรกิจปิโตรเคมีของไทย จาก 1) D / E ต่ำ ที่ 0.35 เท่า 2) มีธุรกิจครบวงจร 3) เป็นเจ้าตลาดในไทยและภูมิภาค นอกเหนือจากภาพใหญ่ที่เน้นธีมเล่นรอบตามวัฎจักรซึ่งจะผลักดันให้เกิดการขยายตัวที่หลากหลาย PTTGC ยังเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น (Brent สูงกว่า 55 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล) จากความได้เปรียบในการเป็นวัตถุดิบก๊าซ แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับกำลังการผลิต PE จำนวนมากที่กลับมาออนไลน์ในปี 64 แต่สิ่งสำคัญคือสมดุลของอุปสงค์ / อุปทานจะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนเนื่องจากอุปสงค์คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง คงคำแนะนำ ซื้อ และ TP ที่ 75 บาท (P / B ปี 64 ที่ 1.2 เท่า ค่าเฉลี่ยในอดีต)
กำไรหลัก 4Q63 ดีขึ้นในทุกธุรกิจ
คาด NPAT 4Q63 จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 600% QoQ และ 54% YoY คาด EBITDA ปรับตัวดีขึ้นในทุกธุรกิจ นำโดยโอเลฟินส์และ Performance Material (ฟีนอล) เพิ่มขึ้น 20-30% จากความต้องการเจลทำความสะอาดมือที่เพิ่มขึ้น ประมาณการค่าการกลั่น 4Q63 ที่ 1.8 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล (+0.6 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล QoQ) จากพรีเมียมน้ำมันดิบที่ลดลง (2.5 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล เทียบกับ 3.7 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล) อัตราการใช้กำลังการกลั่นของโรงกลั่นลดลงเหลือ 91% จาก 94% ในไตรมาส 3/2563 ความสามารถในการทำกำไรของอะโรเมติกส์พลิกกลับมาพร้อมกับอัตราการใช้กำลังการผลิต ที่ฟื้นตัวเป็น 100% จาก 91% (โรงงานปิด 19 วัน) และอัตรากำไรดีขึ้น 28 เหรียญสหรัฐ / ตันเป็น 100 เหรียญสหรัฐ / ตันจากสเปรดเบนซินที่เพิ่มขึ้น +128% QoQ อัตราการใช้กำลังผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้นเป็น 110% จาก 104% และราคา PE เพิ่มขึ้น 11% QoQ จาก 1) ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 2) อุปทานที่ตึงตัวขึ้นจากการปิดโรงกลั่นในภูมิภาค 3) การฟื้นตัวของอุปสงค์ของจีน รายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ได้แก่ กำไรจากสต็อกและอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1 พันล้านบาทและ 1.3 พันล้านบาทและขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง 500 ล้านบาท
โรงกลั่น + อะโรเมติกส์จะหนุนการเติบโตในปี 64
ราคา HDPE สูงสุดที่ 1,110 เหรียญสหรัฐ / ตันในช่วงต้นเดือนธันวาคมและลดลงเหลือ 1,035 เหรียญสหรัฐ / ตัน ระดับสินค้าคงคลังในจีนอยู่ที่เฉลี่ย 5 ปี IHS Markit ประเมินว่าดุลอุปสงค์ / อุปทาน PE จะปรับตัวดีขึ้น YoY แต่ยังคงขาดดุลอยู่ที่ 2 ล้านตัน (อุปทาน 7 ล้านตัน อุปสงค์ 5 ล้านตัน) การเติบโตในระยะต่อไปจะหนุนโดยการฟื้นตัวของค่าการกลั่นและอะโรเมติกส์ สเปรด PX น่าจะปรับตัวดีขึ้นตามอุปสงค์ที่ฉุดจากอุปทาน PTA ใหม่ทั่วโลก 11.8 ล้านตันในปี 64 แนวโน้มเบนซีนดูดีต่ออุปสงค์ต่อเนื่องจากสไตรีนและฟีนอล (เจลทำความสะอาดมือ) ค่าการกลั่นน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในปี 64 ดีเซลและ LSFO คิดเป็น 67% และ 15% ของผลตอบแทนของ PTTGC สเปรด LSFO YTD พุ่งสูงขึ้นเนื่องจากการปิดโรงไฟฟ้าในเกาหลีใต้ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้ามีความต้องการ LSFO เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ M&A - กลุ่มโพลีเมอร์มูลค่าสูง
การควบรวมกิจการของ PTTGC มุ่งเน้นไปที่กลุ่ม High Value Polymer ซึ่งเป็นสารเคมีที่ใช้สำหรับการเคลือบสีรถยนต์และอุตสาหกรรมการบิน ในปี 63 DynaChisso ถือหุ้น 45% (ผู้ผลิตเรซินคอมปาวด์ PP ที่ใช้ในยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์) PTTGC ยังอยู่ระหว่างการหารือกับพันธมิตรเพื่อพัฒนาโครงการ Ohio petrochemical cracker หลังจากการถอนตัวของ บริษัท Daelim Industrial Co. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนชาวเกาหลีใต้ เราคาดว่าจะมีการประกาศ FID สำหรับแครกเกอร์ปิโตรเคมีของโอไฮโอในช่วงกลางปีนี้
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
Osotspa (OSP)
ยอดขาย 4Q63 ชะลอ แต่จะฟื้นในปี 64
BUY
Share Price THB 35.75
12m Price Target THB 45.00 (+26%)
Previous Price Target THB 50.00
ประเด็นการลงทุน
แม้มีการปรับลดประมาณการกำไรลงตามยอดขายที่ชะลอตัว แต่คาดว่ากำไร 4Q63 ยังเติบโต 8% YoY จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้น และแนวโน้มปี 64 จะเติบโตดีขึ้นจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นและขยายช่องทางการขาย รวมทั้งได้ผลบวกจากการเปิดโรงงานขวดแก้วที่เมียนมาร์ ขณะที่โปรแกรม Fit Fast Firm ยังช่วยให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์อาจกดดันราคาหุ้นในช่วงนี้ แนะนำ ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวลง ราคาเป้าหมาย (DCF) 45 บาท (ปรับลงจากเดิมที่ 50 บาท)
ปรับลดประมาณการ
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563-2564 ลง 6% และ 7% ตามลำดับ จากยอดขายเครื่องดื่มชะลอตัวตามการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่ลดลง และธุรกิจร้านสะดวกซื้อหดตัว ส่วนประเด็นการใช้กัญชงในเครื่องดื่มและเครื่องสำอาง OSP ยังอยู่ระหว่างศึกษา ยังไม่มีกำหนดระยะเวลาที่จะนำมาใช้ และไม่ได้รวมในประมาณการ
คาดกำไร 4Q63 เติบโต 8% YoY จากอัตรากำไรเพิ่มขึ้น
คาดว่ากำไร 4Q63 เท่ากับ 850 ล้านบาท ลดลง 8% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 8% YoY อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 26 bps YoY เป็น 35.3% จากโปรแกรม Fit Fast Firm ทั้งในด้านการปรับสูตรเครื่องดื่ม การบริหารต้นทุนวัตถุดิบให้ลดลง และประสิทธิภาพการผลิตเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ยอดขายคาดว่าจะลดลงจากการที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังติดลบมากกว่า 3Q63 ที่ -6.7% ตามการชะลอตัวของการอุปโภคบริโภคและการระบาดของโควิดรอบใหม่ ขณะที่ตลาด Functional drink ที่เคยเติบโตต่อเนื่อง ก็ชะลอตัวลงจากฐานสูง อีกทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อซึ่งเป็นช่องทางขายหลัก ได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากโครงการคนละครึ่ง เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นจากการที่ C-Vitt ขยายกำลังการผลิตเมื่อกลางปี 63 แต่ก็มีค่าใช้จ่ายการตลาดเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากอยู่ในช่วงขยายช่องทางขายไปยัง Traditional Trade เราคาดเงินปันผล 2H63 เท่ากับ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 2%
ขยายกำลังการผลิตและเพิ่มช่องทางการขาย
แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่เราประเมินว่ากำไรปี 63 ยังเติบโตได้ 4% และเพิ่มขึ้น 13% ในปี 64 จากยอดขายที่ฟื้นตัวขึ้นตามการอุปโภคบริโภค และได้ประโยชน์จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2H63 รวมทั้งการทยอยขยายช่องทางการขายของ C-Vitt ไปยัง Traditional Trade ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเพียง 20% (อีก 80% ขายทาง Modern Trade) อัตรากำไรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก Fit Fast Firm ส่วนโรงงานใหม่ที่เริ่มผลิตเครื่องดื่มชูกำลังเองที่เมียนมาร์ (แทนการจ้างผลิต) ตั้งแต่ 2H63 จะช่วยให้อัตรากำไรสูงขึ้น นอกจากนั้น โรงงานผลิตขวดแก้วในเมียนมาร์คาดว่าจะเริ่มผลิตใน 2H64
ความเสี่ยง: ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การเพิ่มภาษีเครื่องดื่ม เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ การขยายไปต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web