- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 October 2014 16:06
- Hits: 1639
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET ใกล้เริ่มผันผวนและเตรียมไหลลงใหม่ ดังนั้นเน้นถือเงินสด...
กลยุทธ์ : หลังจาก SET รีบาวด์ขึ้นมาได้ในช่วงสัปดาห์เศษที่ผ่านมาด้วยระยะทางพอควร ขณะที่ช่วงนี้ถือว่ายังไม่ได้มีปัจจัยบวกใหม่ที่ชัดเจนเข้ามาช่วยหนุนตลาด ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET มีโอกาสที่จะกลับไปปรับพักฐานลงต่อได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นขายช่วงบวก แล้วถือเงินสดไว้ก่อน เพื่อรอจังหวะซื้อใหม่เมื่อดัชนีไหลลงต่ำ ซึ่งเราคาดว่า ระดับดัชนีที่น่าสนใจเลือกหุ้นเข้าซื้อยังอยู่ที่ 1500 จุดหรือหลุดต่ำกว่าลงไปมากกว่า
หุ้นเด่นทางเทคนิค : BH, BECL , CPN(buy back)
แนวโน้ม : หลังจากเมื่อคืนนี้ผลประชุมเฟดออกมาตามคาด โดยเฟดประกาศยุติโครงการซื้อสินทรัพย์ หรือ QE ขณะที่ยังระบุว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำต่อไปอีกนาน ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงไม่มากนัก ส่วนตลาดหุ้นยุโรปยังปิดเป็นบวกโดยส่วนใหญ่ เพราะได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเอกชน อย่างไรก็ตามส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นเอเชียไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้แล้ว จึงทำให้เช้านี้ตลาดหุ้นเอเชียแกว่งตัวบวก-ลบในกรอบไม่กว้างมากนัก ซึ่งเมื่อวานนี้เราก็เริ่มเห็นแรงขายในตลาดหุ้นไทยที่มีออกมากดดันดัชนีมากขึ้นด้วย ทำให้ FSS คาดว่า SET มีสิทธิที่จะมีจังหวะแกว่งตัวผันผวนมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเริ่มกลับไปปรับตัวย้อนลงให้เห็นอีกครั้งในเร็วๆ นี้ เพื่อรอติดตามการเปิดเผยตัวเลข GDP ของสหรัฐในค่ำวันนี้ (30 ต.ค.) รวมทั้งรอลุ้นผลประชุม ECB ในวันที่ 6 พ.ย. ด้วย ดังนั้นจังหวะตลาดบวกขึ้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นขายทำกำไรไว้ก่อนเช่นเดิม เพื่อรอหาจังหวะเลือกหุ้นซื้อใหม่เมื่อ SET กลับไปปรับตัวลง
แนวรับ 1560-1557 , 1553-1550 จุด แนวต้าน 1566-1570 , 1574 จุด
Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันในปริมาณที่เพิ่มขึ้น โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวัน US$320.7 ล้าน อินโดนีเชีย US$158.6 ล้าน เกาหลีใต้ US$76.8 ล้าน ไทย US$30.2 ล้าน และเวียดนาม US$5.2 ล้าน แต่ขายในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ US$4.5 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้อ่อนค่าตามยูโร Flow น่าจะเบาบางหลังมติที่ประชุมเฟดให้สิ้นสุด QE ตามคาด
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) SCC รายงานกำไรสุทธิ 3Q14 อยู่ที่ 7,847 ล้านบาท ลดลง 8% Q-Q และ 3% Y-Y ดีกว่าที่เราคาด 8.6% เนื่องจากกำไรจากบริษัทร่วมในธุรกิจปิโตรเคมีออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดีกำไรชะลอตัวเป็นเพราะผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจซีเมนต์มีกำไรชะลอตัวจากความต้องการใช้ปูนในประเทศลดลงและราคาปูนที่ปรับลดลง ธุรกิจกระดาษมีก็กำไรลดลงจากต้นทุนในการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักร ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีกำไรเพิ่มขึ้น Margin ที่เพิ่มขึ้นขณะที่ปริมาณการขายลดลง อย่างไรก็ตามเนื่องจากผลกำไรที่ชะลอตัวใน 3Q14 ทำให้กำไรในช่วง 9M14 คิดเป็น 68% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2014 จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2014 ลง 8% มาอยู่ที่ 33,759 ล้านบาท ลดลง 3.5% Y-Y แต่คงประมาณการกำไรปี 2015 ที่คาดจะเติบโต 17.2% Y-Y จะฟื้นตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายจากการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนจะหนุนธุรกิจซิเมนต์และกระดาษ ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 495 บาท
(+) BGH เราคาดกำไรปกติ 3Q14 เพิ่มขึ้น 23% Q-Q และ 19% Y-Y แม้รายได้จะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากการบริโภคที่ชะลอ รวมถึงกฎอัยการศึกที่ยังมีผลบังคับใช้ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ แต่การควบคุมต้นทุนที่ดีทำให้ EBITDA Margin และกำไรยังเติบโตในระดับที่แข็งแกร่ง แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q14 ยังมีทิศทางที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง และได้แรงหนุนจากการรวมงบการเงินของโรงพยาบาลภูเก็ต อินเตอร์เนชั่นแนลตั้งแต่ต้น ต.ค. ที่ผ่านมา เรายังคงคาดกำไรปกติปี 2014-15 เติบโต 18% Y-Y และ 22% Y-Y ตามลำดับ และราคาเป้าหมายปี 2015 ที่ 20.50 บาท ราคาหุ้นปรับลงมาจน upside เปิดกว้างเราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ จากเดิมถือ
(0) ROJNA เราคาดกำไรปกติ 3Q14 จะเติบโตโดดเด่นจากรายได้โอนที่ดิน 2 พันไร่ ส่วนการขายที่ดิน คาดว่าจะมีการขายที่ดินใหม่ให้ลูกค้าสูงขึ้นช่วง 4Q14 เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2014 ลง 9% จากการปรับเพิ่มดอกเบี้ยจ่าย แต่ปรับกำไรปกติปี 2015 เพิ่มขึ้นเท่าตัว หลักๆจากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก TICON ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 49% (จากปัจจุบันถือ 26.1%) และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2015 (หลัง XR 4:1 @7 บาท) เป็น 7.80 บาท จากเดิม 4.40 บาท แต่ยังคงแนะนำถือ เนื่องจาก upside ที่จำกัด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวลดลงเล็กน้อยหลัง FED ประกาศยุติ QE อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามแม้จะยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำแต่ FED กล่าวว่าแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจของสหรัฐฯยังค่อนข้างสดใส ทำให้นักลงทุนบางส่วนยังจับตาช่วงเวลาที่ FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดผสม โดยนักลงทุนจับตาดูการแถลงของ FED ซึ่งออกมาภายหลังตลาดปิดทำการ
ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวค่อนไปในแดนบวกโดยนักลงทุนตอบรับต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯทียังคงดีรวมถึงผลประกอบการที่สดใสของบริษัทในภูมิภาค
ค่าเงินบาทขยับอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ล่าสุดแกว่งตัวในกรอบ 32.47-32.60 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 0.78 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 82.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาด อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันเช้านี้ถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. ร่วงลง 4.50 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,224.90 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากที่ FED ประกาศยุติ QE อย่างเป็นทางการเมื่อคืนนี้ รวมถึงแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
30-ต.ค. - ไทย: TSE เทรดวันแรก (ราคา IPO 3.90 บาท)
- สหรัฐ: 3Q14 GDP
31 ต.ค. - ไทย: ธปท.รายงานเศรษฐกิจเดือน ก.ย., SPA เทรดวันแรก (ราคา IPO 1.70 บาท)
- ญี่ปุ่น: BOJ ประชุม
- ไต้หวัน: 3Q14 GDP
1 พ.ย. - จีน: Manufacturing PMI (ต.ค.)
3-พ.ย. - ไทย: อัตราเงินเฟ้อ (ต.ค.), BA เทรดวันแรก (ราคา IPO 25 บาท)
- จีน: Non-manufacturing PMI (ต.ค.)
- สหรัฐ: ISM Manufacturing (ต.ค.)
- ยูโรโซน: Markit Manufacturing PMI (ต.ค.)
5-พ.ย. - ไทย: กนง.ประชุม
- จีน: HSBC China Composite PMI (ต.ค.)
6-พ.ย. - ไทย: BRR เทรดวันแรก (ราคา 6.80 บาท)