- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 24 December 2020 13:07
- Hits: 16407
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-12-2020
“เจ็บแต่จบดีกว่ายืดเยื้อ”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ---
# ภาวะตลาดวานนี้ : SET แกว่งตัวในกรอบ 1414-1440 จุด ปิดตลาดค่อนไปทางกรอบล่างที่ 1416 (-8.37 จุด) การเลือกซื้อหุ้นรายตัวและมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 ช่วยประคับประคองตลาด ประกอบกับรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดน้อยถอยลงเหลือ 46 รายในวันที่ 23 ธ.ค.(จาก 427 รายในวันที่ 22ธ.ค.63) สถาบันในประเทศขายสุทธิต่อ 1.3 พันลบ. ต่างชาติพลิกเป็นขายสุทธิ 679 ลบ. รายย่อยซื้อสุทธิ 1.9 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์ : ติดตามรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน และผลประชุมศบค.ชุดใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการ Lockdown ทั้งนี้เรื่องของการ Lockdownคาดว่าจะมีการล็อกทุกพื้นที่ โดยแบ่งเป็นสีตามความรุนแรงของการแพร่ระบาด และแต่ละสีมีมาตรการแตกต่างกัน (เจ็บแต่จบ) สำหรับการจองที่พักโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รมว.ท่องเที่ยวฯจะหารือกับนายกฯและรมว.คลังวันนี้ โดยมีข้อเสนอว่าถ้าจองก่อนปีใหม่จะเลื่อนได้ 6-12 เดือน และจะให้จองห้องพักเพิ่มเติมอีก 1 ล้านสิทธ์ (ซึ่งเลื่อนมาจาก 16 ธ.ค.63) ซึ่งเราเห็นว่าทั้งเรื่อง Lockdown และการแก้ปัญหาโครงการเราเที่ยวด้วยกันดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในยามนี้ สำหรับผลประชุมกนง.เมื่อวานนี้ก็เป็นไปตามคาด คือ คงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ด้านรายงานตัวเลขส่งออกพ.ย.63 และ 11M63 ก็ต่ำกว่าคาดไม่มาก มองว่าสองปัจจัยนี้ไม่ได้มีน้ำหนักต่อตลาดนัก ด้านปัจจัยภายนอกมีน้ำหนักบวก จาก Brexit น่าจะจบดี (อังกฤษออกจาก EU แบบมีเงื่อนไข) และเชื่อว่าทรัมป์จะลงนามมาตรการกระตุ้น 9 แสนล้านUS$ ในที่สุด (สภาคองเกรสโหวตผ่านแล้ว)
สรุป : แม้ระยะสั้นเรากำลังเผชิญความเสี่ยงเรื่องการแพร่ระบาดและการกลายพันธุ์ของโควิด-19 และผลกระทบทางลบ แต่ระยะกลาง-ยาวมีตัวช่วยลดทอนความวิตก คือ การใช้วัคซีนที่จะแพร่หลายขึ้นเรื่อยๆ และผู้ผลิตวัคซีน คือ ไบโอเอ็นเทค (ที่ร่วมมือกับไฟเซอร์) ระบุว่าวัคซีนที่บริษัทผลิตสามารถป้องกันโควิดกลายพันธุ์ได้และถ้าต้องพัฒนาก็ใช้ระยะเวลาไม่นานเพราะโครงสร้างหลักของไวรัสไม่ได้เปลี่ยนแปลง นอกจากนั้นก็มีมาตรการของทุกประเทศที่เร่งออกมาเพื่อเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยหนุนด้วย ส่วนปัญหาการเมืองไทยและการชุมนุมประท้วงช่วงนี้ก็พักก่อน กลยุทธ์ : เลือกซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีเพื่อลงทุนระยะยาว หุ้นเด่นกลุ่มเติบโตปี 64 คือ PTT, BEM, BDMS, GPSC, TQM, CPALL, COM7 ส่วนหุ้นเด่นกลุ่มปันผลสูง ได้แก่ KKP, TISCO, AP, LH, SNC, DIF สำหรับหุ้น ValuePlay คือ KBANK, AMATA, PTTGC, TOP เป็นต้น
หุ้นพื้นฐาน Top pick วันนี้ เป็น TQM (ราคาปิด 122 บาท) : ระยะสั้นได้ประโยชน์จากการระบาดโควิดระลอกใหม่ ทำให้ยอดขายประกันพุ่งขึ้นเรงกว่า 1 พันรายในชั่วข้ามคืน เราชอบ TQM ที่มีแผนกลยุทธ์เรื่องการเติบโตชัดเจน การใช้ Digital platform ในการทำธุรกิจทำให้การเข้าถึงลูกค้าและความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นรวมทั้งการเข้าซื้อกิจการก็ช่วยหนุนการเติบโตด้วย ทางฝ่ายวิจัยฯ DBS คาดกำไรสุทธิปี 63-64 จะเติบโตสูง +33% และ +30% ตามลำดับ แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 137 บาท มี Upside จากราคาปัจจุบัน 12%
# การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นลบ ทำให้แกว่ง แต่ค่าบวกช่วยให้เกิดรีบาวด์สั้นก่อน แนวต้าน 1430, 1440-1450 แนวตัดขาดทุนคือ ต่ำกว่า 1415 แนวรับย่อย 1390-1380, 1360 ส่วนหุ้นเทคนิคแนะนำวันนี้เป็น SIS,JMART,PSL,STA,STGT,AS
Thailand Research Team:reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
In The News : BH (ราคาปิด 117.50 บาท) : BDMS ขายหุ้น BH ให้ผู้บริหาร PRINC 17.94%
TQM (ราคาปิด 122 บาท) : กำไร 4Q63 แข็งแกร่ง และแนวโน้มไปได้ดี
GCAP (ราคาปิด 1.62 บาท) : ร่วมทุนกับนิ่มซี่เส็งขนส่ง
New Listing : KEX
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ Brexit : อังกฤษและ EU ใกล้บรรลุข้อตกลงการค้าแล้ว
# แหล่งข่าวจากวงการทูตระบุว่าสมาชิก 27 ชาติของสหภาพยุโรป (EU) ได้เริ่มเตรียมการสำหรับกระบวนการบังคับใช้ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับอังกฤษเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2564 โดยขณะนี้ทั้งสองฝ่ายใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าที่จะมีการบังคับใช้หลังจากอังกฤษแยกตัวจาก EU (Brexit)
+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงานดีกว่าคาด & ความเชื่อมั่นผู้บริโภคธ.ค.ดีขึ้นจากเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นจะออกมา
# ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับ 803,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 885,000 ราย จากระดับ 892,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
# ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 11.0% สู่ระดับ 841,000 ยูนิตในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 995,000 ยูนิต
# ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.
# ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวสู่ระดับ 80.7 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 76.9 ในเดือนพ.ย. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 81.3
# มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาผลกระทบจากการโควิด-19 คาดว่าจะออกมาได้ในที่สุด แม้ว่าปธน.ทรัมป์ขู่จะไม่ลงนามในมาตรการดังกล่าว
• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี DJIA ปิดบวกแต่ Nasdaq อ่อนลง
# ดัชนี DJIA ปิดเพิ่มขึ้น 114.32 จุด หรือ +0.38% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้น 2.75 จุด หรือ +0.07% ส่วนดัชนีNasdaq ปิดลดลง 36.81 จุด หรือ -0.29%
# หุ้นกลุ่มที่ปรับขึ้นคือ สายการบิน, อุตสาหกรรม, ธนาคาร, พลังงาน, ผู้ผลิตวัคซีน แต่หุ้นเทคโนโลยีอ่อนลงจากการขายทำกำไร
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาน้ำมันดิบรีบาวด์กว่า 2%
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์ หรือ +2.3% ปิดที่ 48.12 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENTเพิ่มขึ้น 1.12 ดอลลาร์ หรือ +2.2% ปิดที่ 51.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
# EIA เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 562,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 ธ.ค.
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองปิดเด้งขึ้น +0.4% หลังร่วงต่อเนื่องใน 3 วันก่อนหน้า
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่1,878.1 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากอ่อนตัวลงมา 3 วันต่อเนื่อง ปัจจัยหนุน คือ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
• รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ 23 ธ.ค.63 ลดเป็น 46 ราย (จาก 427 รายในวันก่อนหน้า)
# เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค.) มีรายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใหม่ 46 ราย (ลดลงจากวันก่อนที่ 427 ราย) ทำให้มีผู้ติดเชื้อสะสม5,762 ราย ซึ่งหายป่วยแล้ว 4,095 ราย เสียชีวิต 60 ราย อัตราเสียชีวิต 1.04% ซึ่งต่ำกว่าเฉลี่ยของโลกที่ 2.2%
# ต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป เพราะขณะนี้ได้มีการแพร่ระบาดไปมากกว่า 20 จังหวัดของไทยแล้ว
• ติดตามประชุมศบค.ชุดใหญ่วันนี้ (24 ธ.ค.63)
# นายกรัฐมนตรีมีกำหนดประชุมศบค.ชุดใหญ่วันที่ 24 ธ.ค.63 เวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณาว่าจะมีการ Lockdown ในแต่ละพื้นที่อย่างไร ซึ่งในเบื้องต้นอาจจะมีการล็อกทุกพื้นที่ โดยแบ่งเป็นสีตามความรุนแรงของการแพร่ระบาด ซึ่งแต่ละสีก็จะมีมาตรการแตกต่างกัน
+ ชงโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ลุ้นถ้าจองก่อนปีใหม่เลื่อนได้ 6-12 เดือน
# รมว.กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาระบุว่าวันนี้ (24 ธ.ค.) จะเข้าหารือกับนายกฯ และรมว.คลังเพื่อเปิดให้จองห้องพักเพิ่มเติมในโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีก 1 ล้านสิทธิ์ ซึ่งเลื่อนมาจาก 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา และผู้จองห้องพักก่อนปีใหม่ จะเลื่อนเข้าพักได้ 6-12 เดือน
+ ธปท.ให้แบงค์ติดตามและช่วยเหลือลูกหนี้ในเชิงรุกหลังโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่
# ธปท.เปิดเผยว่า ลูกหนี้ที่ขอรับความช่วยเหลือผ่อนปรนจากสถาบันการเงินทยอยลดลงต่อเนื่อง จาก 7.2 ล้านล้านบาทในเดือนก.ค.63 เป็น 6 ล้านล้านบาทในเดือนต.ค.63 โดยเป็นลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ 55% และลูกหนี้ธนาคารเฉพาะกิจ45%
# ลูกหนี้ธุรกิจที่กลับมาชำระได้ปกติอยู่ที่ 66% และอีก 32% ต้องปรับโครงสร้างหนี้ โดยมีเพียง 2% จากหนี้ที่เข้าโครงการทั้งหมดที่เปราะบางและอาจเป็น NPL ทั้งนี้ลูกหนี้รายย่อย 70% กลับมาชำระได้ปกติ โดยมีเพียง 1%(ราว 1.2 หมี่นล้นบาท) ที่เปราะบาง ส่วนลูกหนี้ธุรกิจมี 5% (ราว 1.5 หมื่นล้านบาท) ที่ขอยืดการพักชำระหนี้ออกไปถึงมิ.ย.64 (จากเดิมที่หมดระยะเวลาผ่อนปรนในช่วงต.ค.-ธ.ค.63) หลักๆ เป็นธรุกิจโรงแรมและที่เกี่ยวกับท่องเที่ยว
# จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทางธปท.ให้สถาบันการเงินติดตามอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือลูกหนี้ในเชิงรุกให้มากขึ้น
• บอร์ดกนง.มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% ตามคาด
# คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งสุดท้ายของปี 63 มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ต่อปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
# กนง.คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 63 จะหดตัว -6.6% ซึ่งดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม จากการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวดีขึ้น และคาดว่าจะขยายตัว 3.2% ในปี 64 และ 4.8% ในปี 65
# แต่...การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนสูง โดยระยะสั้นขึ้นกับสถานการณ์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ขณะที่ในระยะถัดไปขึ้นอยู่กับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประสิทธิผลและการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 และตลาดแรงงาน ซึ่งยังมีจำนวนผู้ว่างงานและเสมือนว่างงานอยู่ในระดับสูง
- ส่งออกเดือนพ.ย.63 หดตัว -3.65%YoY แย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ -3.1%
# กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยมูลค่าส่งออกเดือนพ.ย.63 หดตัว -3.65%YoY เป็น 18.93 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่วนมูลค่านำเข้าลดลง -0.99%YoY เป็น 18.88 พันล้านดอลลาร์ เกินดุลการค้าลดลงเหลือ52.59 ล้าน สำหรับงวด 11M63 มูลค่าส่งออก -6.92%YoY นำเข้า -13.74%YoY เกินดุลการค้า 23.51 พันล้านดอลลาร์สำหรับทั้งปี 63 ทางกระทรวงพาณิชย์คาดมูลค่าส่งออกไทยจะหดตัวไม่เกิน -7%
# สินค้าส่งออกที่ขยายตัวดี คือ กลุ่มอาหาร, สินค้าที่เกี่ยวกับ WFH และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน, สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด (เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถุงมือยาง เป็นต้น)
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : การส่งออกในระยะสั้นมีอุปสรรคเข้ามา คือ กำลังซื้อที่ชะลอตัวลงหลังโควิด-19ระบาดระลอกใหม่ และการขนส่งที่ไม่ค่อยราบรื่น เพราะหลายประเทศเข้มงวดเรื่องคนและสินค้าข้ามพรมแดนและการขาดแคลนคอนเทนเนอร์ยังคงมีอยู่ นอกจากนั้นยังมีค่าเงินบาทแข็งที่กดดันรายได้และมาร์จิ้นรูปเงินบบาทอย่างไรก็ตาม แนวโน้มปี 64 คาดว่าจะเติบโตจากฐานต่ำได้ หลังมีการใช้วัคซีนในวงกว้างขึ้น กระทรวงพาณิขย์คาดว่าจะเติบโตราว +4% ใกล้เคียงกับธปท.ที่ประมาณการไว้ที่ +4.5%
สำหรับหุ้นกลุ่มอาหารส่งออกที่เราแนะนำซื้อ เป็น CPF, GFPT, TU ส่วนกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ หุ้นเด่นเป็น KCEรองลงมาเป็น HANA
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web