- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 24 October 2014 15:58
- Hits: 2261
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA +216.58, NASDAQ +69.95, S&P +23.71, FTSE +19.42, CAC +52.59 และ DAX +107.17 ภายใต้ปัจจัยหนุนจาก (1) ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเอกชน รวมถึงแคทเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่มีรายได้ต่อหุ้น 1.72USD ใน 3Q/57 สูงกว่าที่คาดว่าอยู่ที่ 1.36USD (2) ตัวเลขเศรษฐกิจของยูโรโซน ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซน – ตค. อยู่ที่ 50.7 เพิ่มขึ้นจาก 50.3 เมื่อ กย. และดัชนี PMI ภาคการผลิต – ตค. ของเยอรมนี อยู่ที่ 51.8 เพิ่มจาก 49.9 เมื่อ กย. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจจะรอดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ได้ และ (3) ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจ – กย. ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 104.4 ซึ่งสูงกว่าคาด และดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศ ซึ่งเป็นมาตรวัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เกี่ยวข้อง เพิ่มแตะระดับ +0.47 ในเดือนกย. จาก -0.25 เมื่อสค. ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน เพิ่มขึ้น 17,000 ราย อยู่ที่ 283,000 ราย อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นยังน้อยกว่าที่คาดไว้ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต – ตค. อยู่ที่ ลดลงจาก 57.5 เมื่อกย.
…..ราคาปิดน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ธค. +US$1.57 อยู่ที่ US$82.09 ต่อบาร์เรล ภายใต้ปัจจัยหนุนจาก (1) ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่สุดในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ส่งออกน้ำมัน – กย. 9.36 ล้านบาร์เรลต่อวัน ลดลง 328,000 บาร์เรลจาก สค. และ (2) ดัชนีภาคการผลิตของจีนและเยอรมนีขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง
....ทางด้านราคาทองคำ ส่งมอบเดือน ธ.ค. -US$16.4 อยู่ที่ US$1,229.1 ต่อออนซ์ จากการขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังกตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนตัวเลขแรงงานและผลประกอบการที่สดใสของภาคเอกชน
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +109 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปี -14,490 ล้านบาท (สิ้นปี’56 มียอดขายสุทธิสะสม 193,911 ลบ)
ทิศทางตลาด
ทิศทางตลาด : ผันผวน? แม้มีโอกาสเคลื่อนไหวในแดนบวกตามตลาดต่างประเทศ จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังสดใส และยูโรโซน ที่ส่งสัญญาณดีขึ้น แต่อาจได้รับปัจจัยกดดันภายใต้ประเด็นความกังวลการแพร่ของเชื่อไวรัสอีโบลา โดยล่าสุดมีแพทย์รายหนึ่งในนิวยอร์คติดเชื้อดังกล่าว หลังเข้าไปทำงานในกินี ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ประเทศของแอฟริกาตะวันตกที่มีการระบาดของเชื้ออีโบลารุนแรงที่สุด และทำให้ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลดลงเกือบ 80 จุด ขณะที่แนะติดตาม (1) ECB อาจพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และ (2) ผลการประชุมเฟด (28 – 29/10/57) ว่าจะมีการส่งสัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่? หลังวงเงิน QE จะหมดลง
....ทางด้านประเด็นในประเทศยังไม่มีปัจจัยชี้นำใหม่ๆ ภาพรวม Fund Flow ยังมีความผันผวน แรงซื้อ / ขายสุทธิ สลับกัน แต่คาดยังมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการ (ทั้ง + / -) ต่อเนื่องถึงกลางเดือนพย.
.....ขณะที่แนะติดตามความชัดเจนเกี่ยวกับวงเงินลงทุนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะเวลา 8 ปี (ปี’ 58 – 65) ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะสรุปในเดือนพย. หลัง (21/10/57) ครม. อนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ในปี’58 - 65 เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า การขยายถนน และการขยายสนามบินฯ เป็นต้น เพื่อช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มศักยภาพของประเทศ ให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งคาดกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับผลดีต่อเนื่องในระยะยาว
....นอกจากนี้ยังแนะติดตามประเด็นการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่คาดยังเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังมีการยื่นซองประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว เส้นทางหมอชิต – คูคต เมื่อ 30/9/57 ซึ่งมีผู้ยื่นซองทั้งหมด 4 ราย (ITD, CK, STEC และ UNIQ) คาดใช้ระยะเวลา 1 – 3 เดือน ทราบผลการประมูล คาดอย่างเร็วคาดสามารถลงนามสัญญาและเริ่มก่อสร้างในช่วง 1H/58
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี +0.05 อยู่ที่ 2.28% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) -1.34 อยู่ที่ 16.53
หุ้นแนะนำ : STEC
ประเด็นที่ต้องติดตาม (24 - 28 ต.ค.’57)
24/10/57 : สหรัฐฯ เปิดเผย (1) ยอดขายบ้านใหม่ - กย.
28/10/57 : ประชุมเฟด – วันแรก
หุ้นแนะนำ
STEC: ราคาเป้าหมาย (ปี’58) 35.50 บาท
คาดภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้ประโยชน์จากแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามนโยบายไม่ต่ำกว่า 5 ปีข้างหน้า เช่น โครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการงานก่อสร้างถนนต่างๆ เป็นต้น คาดโครงการดังกล่าวจะทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ปลายปี’57 – 58 คาด STEC เป็น 1 ในผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความพร้อม ศักยภาพ และความสามารถในการรับงาน
คาด STEC มีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐาน จากผลการดำเนินงานที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับที่ดี และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง มีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้น (ล่าสุด) รวมแล้วเกือบ 6,000 ลบ. โดยไม่มีหนี้สินทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทำให้มีความได้เปรียบทั้งอำนาจในการเจรจาต่อรองกับ Supplier และการแข่งขัน
เป็นโอกาสในการเข้าลงทุน โดนเฉพาะในช่วงราคาอ่อนตัว ประเมินราคาเป้าหมายปี’58 ไว้ที่ 35.50 บาท อ้างอิง PE 35 เท่า
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ 02-684-8788